ยินดีต้อนรับ

อริยธรรม ธรรมของพระอริยเจ้า ศิษย์หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

(158) หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน โปรดบุรุษผู้หนึ่งในนิมิต





🌸  อัศจรรย์ธรรมนิมิต  🌸
🌼  หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน  🌼
🌼  โปรดบุรุษผู้หนึ่ง  🌼

🔸๑🔸 🌼 ปฐมกาลก่อนธรรมนิมิต 🌼

       🔹 กาลอันเป็นมงคลครั้งแรกของบุรุษผู้หนึ่ง ปรากฏขึ้นเมื่อได้มีโอกาสกราบนมัสการหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ณ วัดป่าแสงธรรมวังเขาเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ก่อนที่ท่านจะละสังขารไม่ถึงปี การที่ได้กราบท่านในครั้งนั้น นับว่ามีความเป็นพิเศษมาก เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ใกล้ชิดท่าน เมื่อแรกที่ท่านลงจากรถตู้และกำลังครองผ้าจีวรอยู่นั้น บุรุษผู้นี้ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า... "หากลูกมีบุญวาสนาพอที่จะได้เจริญรอยตามพ่อแม่ครูอาจารย์บ้าง ขอให้หลวงตาได้โปรดหันมามองที่ลูกด้วยเทอญ"... ทันใดนั้น หลวงตาท่านได้หันมามองหน้าทันที ทั้งที่เขานั่งอยู่ห่างมากพอสมควร จึงเป็นความปีติครั้งแรก ต่อมาก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับ บุรุษผู้นี้ก็ยังอธิษฐานจิตว่า... "ขอให้มีโอกาสได้สัมผัสผ้าเหลืองของพระอรหันต์ด้วยเถิด".... สุดท้ายเขาก็ได้ประคองหลวงตาขึ้นนั่งบนรถเข็น และได้สัมผัสทั้งผ้าเหลืองและกายเนื้อของท่าน ด้วยการประคองและจับขาของท่านวางบนที่วางเท้า นั่นนับว่า เป็นมงคลอันสูงสุดครั้งแรกในชีวิตของเขา

       🔹 ต่อมา เมื่อหลวงตาได้ละสังขารแล้ว ขณะที่บุรุษผู้นี้กำลังนั่งภาวนาในตอนเช้าของวันหนึ่ง จิตได้ระลึกถึงองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พลันจิตผุดขึ้นมาว่า อยากจะได้พระธาตุของท่านทั้งสองมาสักการะบูชา พอตอนสายของวันนั้น ปรากฏว่า คุณปรัชญา จิตต์ปรัชญา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว ได้อัญเชิญอังคารธาตุของหลวงตามหาบัวมาให้ถึงบ้าน ทั้งที่ไม่เคยพบกันมาก่อน ต่อมาอีกหนึ่งสัปดาห์ บุรุษผู้นี้ก็ได้รับพระธาตุของหลวงปู่มั่นจำนวน 1 องค์ จากคุณศรุต จันทสกุลเดชา ซึ่งเป็นญาติธรรมที่กรุงเทพฯ และหลังจากนั้น 7 วัน พระธาตุของหลวงปู่มั่น ก็ได้กลายเป็นผลึกใสคล้ายเพ็ชร พร้อมกับขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์





🔸๒🔸 🌼  นิมิตธรรมครั้งแรก  🌼

      🔹 เมื่อเวลาได้ล่วงเลยมาถึงช่วงกลางเข้าพรรษาปี ๒๕๕๕ หลังจากบุรุษผู้นี้ ได้รับพระธาตุของหลวงตามหาบัวมาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง ไม่นานนัก หลวงตาท่านก็ได้มาโปรดบุรุษผู้นี้ในนิมิต  โดยท่านได้แสดงปริศนาธรรม ด้วยการแสดงการเข้าสู่พระนิพพานของท่าน  โดยแสดงท่านั่งบนยานพาหนะลักษณะแปลก ค่อยๆลอยขึ้นจากพื้นทางทิศตะวันออก หลวงตาห่มผ้าจีวรสีเหลืองทองสว่างไสว พร้อมกับทอดสายตามองมาที่บุรุษผู้นี้ด้วยความเมตตา เมื่อลอยขึ้นไปสูงราวดวงอาทิตย์เวลาสิบนาฬิกา ท่านจึงสงบนิ่งพร้อมเอ่ยว่า... "เราจะไปแล้วนะ"... บุรุษผู้นี้จึงก้มลงกราบท่าน พลันความปีติยินดีก็แผ่ซ่านไปทั้งกายและใจ  จนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งภาวนาต่อ  อย่างไรก็ตาม นิมิตนี้ประหนึ่งว่า ท่านให้กำลังใจ ให้เขาปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่พระนิพพานเข่นเดียวกันกับท่าน จึงนับเป็นศุภนิมิต ที่ติดตรึงใจเขามาจนกระทั่งบัดนี้








🔸๓🔸 🌼 นิมิตธรรมครั้งที่สอง 🌼

       🔶  นิมิตรอบแรก 

       🔹 ต่อมาอีกไม่นาน หลังจากบุรุษผู้นี้ได้เร่งความเพียรอย่างหนัก อยู่กับหลวงพ่อแห่งโคกปราสาท เกือบตลอดทั้งปี และเมื่อกลับจากการธุดงค์สัญจรกับหลวงพ่อ ปรากฏว่า ในราวตีสามของคืนวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๖  บุรุษผู้นี้ได้นิมิตว่า เขาได้ว่ายข้ามฝั่งแม่น้ำอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง คล้ายกับอยู่ในประเทศอินเดีย โดยมีคู่บารมีเป็นผู้ร่วมว่ายติดตามไปด้วย ทั้งคู่ได้ว่ายน้ำข้ามไป ท่ามกลางกระแสน้ำอันเชี่ยวกราด  พอว่ายไปถึงอีกฝั่ง ปรากฏว่า มีผู้คนจำนวนมากกำลังเข้าแถว ต่างถือเครื่องสักการะ และถาดข้าวตอกดอกไม้ เพื่อไปกราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งเป็นเทวรูปสตรี ในศาสนาฮินดูของอินเดีย เทวสถานแห่งนี้ ตั้งอยู่เชิงเขาติดกับริมฝั่งแม่น้ำ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ในใจของบุรุษผู้นี้บอกตัวเองว่า... "นี่เราได้เลยพ้นจากจุดพวกนี้ไปแล้ว เพราะเราได้เดินตามรอยบาทของพระบรมศาสดา และพระอรหันต์แล้ว"...  

       🔹 ขณะเดียวกัน จิตหนึ่งกลับผุดสงสารผู้เป็นคู่บารมีว่า... "นี่เธอยังมีความลุ่มหลง และยังศรัทธาเหล่าเทพเจ้าอยู่หนอ"... เพราะเห็นเธอกำลังถือถาดดอกไม้ไปยืนเข้าแถวกับเขาด้วย พร้อมกับตะโกนเรียกให้บุรุษผู้นี้ ไปกราบไหว้ด้วยกัน แม้จิตของบุรุษผู้นี้จะรู้ดีว่า... "ท่านทั้งหลายกำลังพากันหลงอยู่นะ"... แต่ด้วยจิตอันเป็นเมตตาต่อผู้เป็นคู่บารมี บุรุษผู้นี้จึงยอมเดินไปเข้าแถวกับเธอ แต่ในจิตของเขา ได้บอกเทพองค์นั้นไปว่า... "บัดนี้ เราไม่กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือลัทธิใดๆ ที่อยู่นอกเหนือคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วนะ  และเราก็ไม่ได้กราบไหว้อ้อนวอนขอพรจากท่านจริงๆนะ แต่เรายอมเอาดอกไม้มาให้ท่านนี้ เพื่อเป็นแต่เพียงกิริยามารยาท ที่ต้องการรักษาน้ำใจคู่บารมีของเราไว้ และมิได้มีเจตนาจะดูหมิ่นชิงชังท่านแต่อย่างใด"... ทันใดนั้น ถาดดอกไม้ได้หลุดจากมือของบุรุษผู้นี้ ลอยไปตกอยู่หน้าเทวรูป ทำให้เทวสตรีผู้นั้น ถึงกับแสดงสีหน้าตกใจ แต่ก็จำยอมน้อมรับเอาถาดดอกไม้นั้น บุรุษผู้นี้จึงยิ้มให้กับเธอ ด้วยความเมตตาต่อเทพตนนั้น เช่นเดียวกันกับที่เมตตาต่อสัตว์โลก

      🔹 หลังจากนั้น บุรุษผู้นี้ได้เดินปลีกตัวออกไปบนเนินเขา เห็นบุรุษแขกผู้หนึ่งเดินเข้ามาหา พร้อมกับโวยวายเสียงดังว่า บุรุษผู้นี้ทำบางอย่างต่อเทพของพวกเขาไม่ถูกต้อง พร้อมกับเรียกร้องเอาสิ่งของบางอย่าง  บุรุษผู้นี้จึงจำยอมมอบบางสิ่งให้ แล้วเขาก็เดินจากไป ในใจของบุรุษผู้นี้รำพึงรำพันพร้อมกับพูดออกไปว่า.... “โอ้...คนมันพาล มาปล้นคนมีศีลกันดื้อๆ อย่างนี้เชียวหรือ น่าจะตีแผ่ออกไปให้ชาวโลกเขารู้ถึงกลเล่ห์เพทุบายของคนแถวนี้นะ”... เสียงรำพึงนั้น ได้ยินไปถึงแขกอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่แถวนั้น พวกเขาขอร้องว่า... “ท่านอย่าทำอย่างนั้นเลย”...  บุรุษผู้นี้จึงไม่ถือสาเอาความ แล้วได้เดินย้อนกลับลงมาหาคู่บารมี ที่รออยู่ริมตลิ่งข้างล่าง 

      🔹 เมื่อมายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ บุรุษผู้นี้ได้มองข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ในใจบอกว่า...  “เราจะว่ายน้ำข้ามไปยังอีกฝั่งที่สวยงามโน้น”.... พอคิดจะก้าวเดินลงน้ำได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏว่า ตัวเองมายืนอยู่อีกฝั่งอย่างรวดเร็วทันใด แต่พอมองหาคู่บารมี ก็ไม่เจอเธอเสียแล้ว

       🔹 เมื่อข้ามมาถึงฝั่งแล้ว จิตเกิดอัศจรรย์ เพราะฝั่งนี้ เต็มไปด้วยสวนพฤกษา สวยสดงดงามตา มีการจัดสวนลดหลั่นกันไป ดุจดังในเทพนิยาย เดินเพลินอยู่ไม่นาน จึงได้พบกับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านยืนยิ้มอยู่ ด้วยความปีติยินดีเป็นล้นพ้น เขาจึงเดินเข้าไปหาหลวงตา ขณะเดียวกัน พลันสายตาก็เห็นเจ้าแขกคนที่เคยกรรโชกทรัพย์มาแล้วที่ฝั่งโน้น ชายแขกเดินเข้ามาหา ด้วยอาการที่ยิ้มแย้มเป็นมิตร การแต่งกายก็สะอาดแลภูมิฐานดี พอเดินมาถึง เขาได้ยื่นย่ามของพระใบหนึ่งมาให้ บุรุษผู้นี้รับไว้และได้ยิ้มตอบ เพื่อแสดงความยินดีกับชีวิตใหม่ของเขา ต่อมาบุรุษผู้นี้ได้ยื่นย่ามใบนั้น ถวายแด่องค์หลวงตา แต่ในใจเขายังสงสัยแขกผู้นี้อยู่ จึงได้กราบเรียนถามหลวงตาว่า... “ทำไม หลวงตาจึงได้โปรดคนพาลพวกนี้ข้าน้อย”... หลวงตายิ้มหัวเราะ พร้อมกับยื่นย่ามใบนั้นกลับมาให้เขาคล้องคอ บุรุษผู้นี้ถึงกับปีติร้องไห้ เพราะได้คล้องสะพายย่าม เสมือนกับจะได้เป็นพระแล้ว พร้อมกับได้รำพึงรำพันกับหลวงตาว่า... “เหตุใดข้าน้อย(ข้าผู้น้อย) อยากบวชแทบตาย แต่ยังไม่ได้ออกบวชเสียที ทีเจ้าคนพาลนี้ กลับได้ดีแล้ว”.... หลวงตาเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับเสียงหัวเราะว่า... “โถ..โถ..น่าสงสาร..”... 

      🔹 ท่านทั้งหลาย เมื่อบุรุษผู้นี้ ได้ยินหลวงตาพูดด้วยความเมตตาเช่นนั้น พลันเกิดปีติซาบซ่านอย่างเหลือล้น จนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา แม้ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่จิตนั้นกลับเข้าสู่สภาวะที่ตื่นและสว่างไสว  เขาจึงถือโอกาสพิจารณาธรรมจากนิมิตนั้นต่อทันที เขาพิจารณาย้อนกลับไปกลับมาหลายรอบ นานนับสิบนาที จนในที่สุด จิตได้เข้าสู่สภาวะอันเงียบสงบอีกครั้ง พร้อมกับได้นิมิตเห็นหลวงตา มาสอนธรรมต่อเนื่องอีกเป็นรอบที่สอง ซึ่งห่างจากรอบแรกเพียงสิบนาที

      🔶  นิมิตรอบที่สอง

      🔹  ความเมตตาในการมาแสดงธรรมนิมิตในรอบที่สองนี้ หลวงตามาในแบบสบายๆ ไม่ได้ห่มจีวร ท่านกำลังนั่งฉันหมากอยู่บนอาสนะ และเอนพิงกายอิงหมอนสามเหลี่ยม ท่านหยิบจับหมากพลูไป ฉันไป พร้อมกับเอ่ยกับบุรุษผู้นี้ ที่กำลังก้มกราบท่านอยู่ ท่านเอ่ยอย่างเป็นกันเองว่า... “ให้พิจารณาทุกสิ่งที่อยู่รอบกายเป็นอนิจจังนะ”... เขาน้อมรับว่า... “ข้าน้อย”...

        🔹  ต่อมาบุรุษผู้นี้ ได้กราบเรียนถามท่านว่า... “ผู้ที่จะก้าวไปสู่อริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ต้องละสังโยชน์ตั้งแต่สามข้อขึ้นไป โดยเฉพาะสีลัพพตปรามาส คือการไม่อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการไม่ยึดติดในพระเครื่องแลวัตถุมงคล ใช่หรือไม่ขอรับ”.... ท่านไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มและก็ฉันหมากตามปรกติ  ความจริงบุรุษผู้นี้ เข้าใจข้อนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่ถามเพื่อเป็นการยืนยันบางอย่างเท่านั้น หลวงตาจึงตอบกลับว่า... “ไม่เป็นไร อย่าไปสนใจ จะระดับใดก็ชั่ง ภาวนาไปเรื่อยๆ”... 

        🔹 ต่อมา หลวงตาชี้ให้ดูเถาวัลย์ยาวขนาดใหญ่สองเครืออยู่คู่กัน เป็นเถาวัลย์ประหลาดๆ เพราะจะว่าเป็นเถาตำลึงก็ไม่ใช่ เถาหนึ่งมีสีเขียวสด อีกเถาหนึ่งมีสีหม่นแห้งเฉา เมื่อหันไปมองแล้ว หลวงตาท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า... “เห็นไหม มันใช้เรามาตลอด”... จากปริศนาธรรมสั้นๆนี้ บุรุษผู้นี้ได้พิจารณาตาม ว่า... “โอ้ อันตัวเรา เมื่อถือกำเนิดเกิดขึ้นมาแล้ว มีกิเลสแลอวิชชาเป็นผู้กดขี่ข่มเหง แลหลอกพาใจ ไปใช้ให้ร่างกายทำโน่นทำนี่ อันเป็นความชั่วเลวทราม แม้แต่ตายลงไปแล้ว กิเลสเหล่านั้น ก็มิได้ตายตามไปกับกายสังขาร เสมือนเถาวัลย์ยาวเฟื้อย มันยังเลื้อยติดตามดวงจิตไปหลอกใช้ในภพชาติใหม่ ชั่งเวียนว่ายเป็นวัฏฏะสงสารไม่สิ้นสุด กิเลสนี้มันชั่งร้ายและแยบยลนัก”...

       🔹 ต่อมา หลวงตาได้ชี้ให้ดูที่กอไผ่กอหนึ่ง เพราะในใจของเขายังสงสัยว่า ทำไมตัวของเขาผู้ปรารถนาพระนิพพานในภพชาตินี้ ยังต้องมามีครอบครัว  ทำไมยังไม่ได้ออกบวชสักที ท่านเอ่ยสั้นๆ ขึ้นมาว่า... “ทำไมยังต้องมีเมีย”...  บุรุษผู้นี้ได้พิจารณาตามท่าน จึงเข้าใจว่า... “อันตัวเราเวียนว่ายตายเกิดมานับภพไม่ถ้วน จึงมีลูกมีเมียมากมาย ดุจใบไผ่ที่เกาะกิ่งไผ่ เราก็เหมือนกับกิ่งไผ่ ที่ให้ที่พักพิงแก่ใบไผ่ เป็นการอาศัยซึ่งกันและกัน หากเราจะตัดภพตัดชาติกับลูกกับเมียแล้วไซร้ เราก็ต้องเป็นเสมือนกับกิ่งไผ่ที่ตายแล้ว คือการตายจากกิเลสทั้งหลายทั้งมวล ดับภพชาติอวิชชาให้สิ้นซาก เมื่อนั้น เราจึงจะหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งหลายได้ เปรียบเสมือนกับกอไผ่ที่ตายแล้ว ใบไผ่ทั้งหลายก็จะร่วงหล่นไปเป็นธรรมดา นั่นเอง”...

      🔹 ท่านทั้งหลาย นิมิตธรรมนี้ ได้แสดงออกมาตามอรรถตามภูมิที่บุรุษผู้นี้มีอยู่ อย่างไรก็ตาม ปริศนาธรรมทั้งหลาย ผู้มีปัญญามาก สามารถที่จะแยกแยะออกไปได้ไม่สิ้นสุด แลภาพนิมิตทั้งหลาย พ่อแม่ครูอาจารย์ทุกองค์ ท่านไม่ให้ใครไปยึดติดในนิมิตเหล่านั้น แต่ท่านให้นำเอานิมิต หรือปริศนาธรรมเหล่านั้น มาพิจารณาเป็นอุบายธรรม โดยใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผล จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักภาวนา 

       🔹 ท้ายสุด เมื่อท่านทั้งหลายได้อ่านธรรมนิมิตนี้จบลง ขอผลานิสงส์ทั้งหลาย จงเป็นปัจจัยให้ท่านมีแต่ความสุขความเจริญ สงบร่มเย็น มั่งมีศรีสุข แลสว่างไสวทั้งทางโลกและทางธรรม จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรมทุกท่านเทอญ

      🔹 ขอเจริญในธรรม
      🔹 ดร.นนต์ บันทึกแทนบุรุษผู้นั้น
      🔹 ๗ มีนาคม ๒๕๕๖



1 ความคิดเห็น: