ยินดีต้อนรับ

อริยธรรม ธรรมของพระอริยเจ้า ศิษย์หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

(220) เรื่องของเปรตอสูรกาย "อยู่ไม่ไกลตัว"

 

ศิลปิน : ดุริวัฒน์ ตาไธสง (เก็ต)
ชื่อภาพ : วิบากกรรม (เปรต)
เทคนิค : เครื่องปั้นดินเผา
 
 
เรื่องของเปรตอสูรกาย "อยู่ไม่ไกลตัว"

ท่านทั้งหลาย สืบเนื่องจากผมเห็นภาพผลงานเซรามิกหรือเครื่องปั้นดินเผาของหลานชาย คือ อ.ดุริวัฒน์ ตาไธสง (เก็ต) ซึ่งเป็นอาจารย์สาขาวิชาเครื่องปั้นดินเผา มหาวิ
ทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับรางวัลดีเด่น ในการประกวดเครื่องปั้นดินเผาแห่งชาติ เมื่อปีสองปีที่แล้ว ผลงานชุดนี้ เป็นผลงานที่แสดงออกถึงเรื่องราวของวิบากกรรม โดยอาศัยรูปร่างของเปรตอสูรกายมาสร้างสรรค์เป็นผลงาน เพื่อสะท้อนผลของวิบากกรรมของมนุษย์ที่ได้กระทำกรรมไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งมีชีวิต

เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว ผมจึงระลึกได้ว่า หลวงพ่อท่านเคยเทศน์เรื่องเปรตตัวหนามให้ฟัง "เปรตตัวหนาม" เป็นชื่อที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่เคยคิดว่าจะมีเปรตประเภทนี้อยู่ด้วย หลวงพ่อได้เล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อกำลังภาวนา ได้มีเปรตตนหนึ่งได้มาขอความเมตตาจากหลวงพ่อ ช่วยโปรดเขาให้พ้นจากความทุกข์ด้วยเถิด หลวงพ่อจึงถามเขาไปว่า "สร้างกรรมใดมา" เขาตอบว่า เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ เขาเป็นข้าราชการอยู่กรมทางหลวง เขาได้ใช้อำนาจเบียดเบียนหรือโกงเงินหลวงในการสร้างถนน (คอรัปชั่น) หลายครั้ง พอตายไปจึงได้มาเสวยวิบากกรรมเป็นเปรตมีหนามแหลมเต็มไปทั้งตัว ได้รับความทรมานแสนสาหัส ผลจากการโกงเงินหลวงทุกประเภท แม้จะมากจะน้อยล้วนมีกรรมหนักทั้งสิ้น กรรมที่จะพาไปเกิดเป็นเปรตอสูรกายในที่สุด ฉะนั้น ผู้ใดคิดจะกระทำอะไรเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินอันไม่บริสุทธิ์ ได้โปรดหวนระลึกถึงอุทาหรณ์เรื่องนี้สักนิด เพราะกรรมนี้ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ซื่อตรงเสมอ

นอกจากเรื่องนี้แล้ว บุรุษผู้หนึ่งก็เคยนิมิตเห็นสัตว์นรกตนหนึ่ง มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว เป็นผู้หญิงเปลือยกาย ตัวมีพุงเหมือนมีท้อง หัวมีตาเดียว จมูกยื่น กำลังหากินอยู่ในกองอาจมมีแต่มูตรคูถ ในมือกำลังจับสัตว์นรกตัวเล็กรูปร่างเป็นอวัยวะทั้งหญิงและชาย จับเข้าปากกลืนกิน น่าขยะแขยง และน่าสะอิดสะเอียนเป็นยิ่งนัก ในจิตบอกว่า เป็นสัตว์นรกตนหนึ่ง พอตอนเช้าก็เห็นข่าวในเว็บไซต์ว่า มีสตรีผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เธอได้ล่วงเกินด่าว่าแม่ชีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านหนึ่งผ่านทางสื่อมวลชน อย่างเสียหายสารพันข้อหา ทั้งที่ตัวเธอเองก็เคยถ่ายภาพนู๊ดมาแล้ว หรือนี้คือ ภาพแสดงให้รู้ว่า การที่ผู้ใดไปกล่าวล่วงเกินผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างเสียหาย โดยไม่ได้คำนึงว่าตนเองนั้นมีความดีอยู่หรือไม่ ผลของวิบากกรรมจึงแสดงออกมาให้เห็นในรูปลักษณะนั้น

ท่านทั้งหลาย ผมนำเอาเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง ก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้เราได้ตระหนักถึงผลของการละเมิดศีล ก็ย่อมได้รับผลวิบากกรรม หนักเบาขึ้นอยู่กับการกระทำนั้นอย่างเที่ยงตรง ขอจงพิจารณา

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
18 ธันวาคม 2556



 


วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

(217) สภาวธรรม "วันพ่อ ๕ ธันวามหาราช"

 
 
 
สภาวธรรม “วันพ่อ ๕ ธันวามหาราช”

เช้านี้วันดีเป็นศรีวันพ่อ 
ลูกขอนั่งภาวนาถวาย
จิตสงบสุขแลสบายกาย 
สว่างไสวไปทั่วอินทรีย์
จิตพิจารณาธรรมข้อนี้ 
ตั้งแต่ตีสี่จนถึงรุ่งเช้า
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เป็นคราวคราว 
พอรุ่งเช้าจิตจึงถอนออกมา

แผ่เมตตาแล้วจิตยังสงบ 
จิตปรารภขอภาวนาต่อหนา
จึงเอนกายลงนอนภาวนา 
เพียงห้านาทีจิตถอดจากกาย
จงกรมภาวนาซ้ายขวาซ้าย 
มีแต่ใจเบาหวิวลอยขึ้นฟ้า
พลันเสียงระเบิดดังปั้งตามมา 
จิตรู้ว่า นี้คือสภาวธรรม

จิตปีติเบาหวิวอย่างประหลาด 
สู่นภากาศว่างสว่างล้ำ
นี่ล่ะหนอคือปีติสุขแห่งธรรม 
สุขเลิศล้ำเกินกว่าคำบรรยาย
ขอบุญนี้ถวายแด่พระองค์ท่าน 
จงดลบันดาลให้ทุกข์โศกหาย
สว่างไสวทั้งพระวรกาย 
พระหฤทัยจงทรงพระเจริญ

ธรรมใดใดที่ได้บังเกิดแล้ว 
ขอพรแก้วรัตนะสรรเสริญ
แผ่ถึงทุกท่านโดยพลันเทอญ 
ขอเจริญธรรมแลเจริญใจ
ขอให้มีความสุขสวัสดี 
ตลอดปีนี้และตลอดไป
ขอให้สว่างไสวทั้งกายใจ 
แลขอให้ถึงนิพพานทุกท่านเทอญ

เหตุเกิดเมื่อเช้านี้
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
๕ ธันวาคม ๒๕๕๖



วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

(216) ธรรมสัญจร "เมียนมาร์ดินแดนพระพุทธศาสนา" ต้นปี 2552

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล



ตอนที่ 1 "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สัจธรรมของโลกสมมุติ"


ท่านทั้งหลาย ท่านคงทราบกันแล้วว่า ในอดีตพระพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองสุดขีดในอินเดียสมัยเมื่อครั้งพุทธกาล และในเวลาต่อมาก็ได้แผ่ขยายมาสู่ประเทศไทย และในอีกหลายๆประเทศแถบเอเชีย จนในที่สุดพระพุทธศาสนาก็เสื่อมความนิยมลงไปตามลำดับ แม้แต่ในอินเดียอันเป็นดินแดนต้นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า ก็เสื่อมลงจนแทบไม่หลงเหลือความเป็นต้นวงศ์ของพระพุทธศาสนา เพราะนี้คือ ธรรมชาติของโลกสมมุติ ธรรมชาติที่แสดงออกมาอย่างเที่ยงตรงในกฎไตรลักษณ์ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ดั่งองค์พระสัมมาได้ตรัสรู้ไว้ดีแล้ว แม้ในกาลปัจจุบัน จะล่วงเลยมาจนถึงช่วงกึ่งกลางพระพุทธศาสนาแล้วก็ตาม ธรรมชาติของอนิจจังก็ยังดำเนินต่อไป แม้แต่ในประเทศไทยอันเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาที่ยังคงรุ่งเรืองสูงสุดในปัจจุบัน ก็เริ่มเสื่อมลง และจะยังดำเนินไปได้อีกราวสองร้อยปีข้างหน้า พุทธศาสนาในประเทศไทยก็จะอ่อนกำลังลง แล้วจะไปปรากฏความรุ่งเรืองในประเทศแถบรัสเซียในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า และจะเบนไปสู่ประเทศอเมริกาในกาลข้างหน้าในที่สุด (เรื่องนี้รู้ด้วยอาสวักขยญาณอันกว้างไกลของพระอรหันต์เจ้าองค์หนึ่ง)



ภาพวาดการสร้างวัดในพม่า



ท่านทั้งหลาย ผมเองมีโอกาสได้ไปเยือนประเทศพม่าหรือเมียนมาร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ. 2552 ในฐานะศิษย์รุ่นพี่ของนิสิตปริญญาเอก สาขาศิลปวัฒนธรรมวิจัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร โดยการนำของคณะครูอาจารย์มี ศาสตราจารย์ ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีในขณะนั้น รวมทั้งคณะผู้บริหาร และนิสิตปริญญาเอกจำนวนหนึ่ง คณะพวกเราได้ท่องเที่ยวไป ศึกษาศิลปวัฒนธรรมและศาสนสถานสำคัญของพม่าในสามเมืองใหญ่คือ ย่างกุ้ง หงสาวดี และพุกาม สภาพทั่วไปของพม่าในเวลานั้น ประชาชนส่วนใหญ่ยากจนมาก สภาพบ้านเมืองไม่มีความเจริญเอาเสียเลย ดูแล้วชั่งหดหู่ในหัวใจ ประหนึ่งว่า พวกเขากำลังเสวยกรรมบางอย่างในอดีต เป็นการย้อนกลับมาเสวยวิบากกรรมใหญ่ร่วมกันอีกครั้ง ฤานี่จะเป็นผลมาจากการเผาบ้านเผาเมืองผู้อื่น เผาแม้กระทั่งวัดวาอาราม แม้แต่พระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ก็มิมีละเว้น เป็นการเผาหัวใจของตัวเอง เพราะพระพุทธศาสนา ก็เป็นศาสนาที่ตนเองนับถืออยู่ ก็เพราะด้วยความหลงในอำนาจ ไฟแห่งความหลงจึงร้อนลุ่มมาจนกระทั่งบัดนี้



 
ชาวเมียนมาร์ในเมืองพุกาม



แต่เมื่อกลับมาย้อนดูประเทศไทยในปัจจุบัน ก็คงไม่ต่างกัน เพราะผู้นำและประชาชนทุกฝ่ายกำลังหลง หลงในบางสิ่งจนนำไปสู่ความวุ่นวาย ต่างแยกฝ่ายแยกพวกไปร่วมกันสร้างกรรม กรรมดีหรือกรรมชั่วนั้นก็ไม่รู้ เพราะไม่สามารถแยกแยะออกด้วยเพราะมีโมหะและโทสะจริต ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน จนลืมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อสร้างกรรมร่วมกันแล้ว กรรมนั้นก็จะไปบังเกิดขึ้นในกาลข้างหน้าอย่างซื่อสัตย์ซื่อตรง แม้ใครจะทราบหรือไม่ทราบกรรมนั้นก็ตาม เรื่องแบบนี้แม้แต่พระอรหันต์เจ้าท่านก็สังเวชในกรรมเหล่านั้น เพราะท่านได้แลเห็นกรรมนั้นแล้ว ท่านเคยเอ่ยกับบุรุษผู้หนึ่งว่า  “ผู้ใดไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นโดยเฉพาะสุจริตชน ให้เขาลำบากในการทำมาหากิน ปิดกั้นขวางทางหรือทำลายข้าวของวัตถุ แลจิตใจของผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หรือด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม กรรมนั้นก็จะย้อนกลับไปขัดขวางการทำมาหากิน และความเจริญในทุกๆด้านในภพกาลข้างหน้า" ฉะนั้น หากมีบุญได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก พวกเขาก็จะเสวยวิบากกรรมแลความทุกข์ที่ได้กระทำมานั้นทันที ดังนั้น นักภาวนาหรือนักสร้างบุญทั้งหลาย ควรหลีกเลี่ยงกรรมด้วยการวางใจไว้แบบกลางๆ มีความเมตตาต่อทุกฝ่าย ยึดหลักพรหมวิหารสี่ และแผ่บุญกุศลออกไปตามกำลังจิตกำลังบุญที่มี จึงจะสมควรแก่การได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และเป็นการกระทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาต่อสัตว์โลกอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนดีคนชั่ว กษัตริย์ คนรวย ผู้อนาถายาจก คนต่ำต้อยขอทาน ผู้สกปรกมีกลิ่นเหม็นแลโรคร้าย หรือแม้แต่ผู้นับถือศาสนาและลัทธิอื่นๆ พระพุทธองค์ก็ไม่เคยรังเกียจ จึงขอให้ทุกท่านจงพิจารณา



ตอนที่ 2 “พระพุทธศาสนายังมั่นคงในความศรัทธาของชาวพม่า”

ท่านทั้งหลาย ประเทศพม่าเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 40 ของโลก และใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน โดยมีประชากรกว่า 60 ล้านคน ในอดีตประเทศพม่าเคยรุ่งเรืองคู่กันมากับประเทศไทย แต่เมื่อได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2491 เป็นต้นมา ประเทศพม่าก็เผชิญกับหนึ่งในสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อที่สุด ท่ามกลางกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่มากมาย ซึ่งยังแก้ไม่ตก และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ถึง 2554 ประเทศพม่าก็ตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร แม้ในช่วงหลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2553 จะได้มีการตั้งรัฐบาลพลเรือนในนามแทน และคณะผู้ยึดอำนาจการปกครองจะถูกยุบอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2554 ก็ตาม แต่ในปัจจุบันทหารก็ยังคงมีอิทธิพลมากอยู่เช่นเดิม

ท่านทั้งหลาย ความวุ่นวายต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศพม่า ก็เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของโลกสมมุติ ธรรมชาติที่เหมือนกันกับทุกชนชาติทุกศาสนาบนโลกสมมุติใบนี้ และเป็นธรรมชาติที่เวียนว่ายตายเกิดขึ้นในวัฏฏะซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้จะหมื่นจะพันล้านปีที่แล้ว หรือจะในอีกกี่หมื่นล้านปีข้างหน้า จะอยู่ในกาลพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดๆ หรือจะอยู่ในช่วงว่างเว้นจากพระพุทธศาสนาในช่วงกาลใดๆ ธรรมชาติของโลกแลสรรพสัตว์ก็จะบังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะนี้คือกฎแห่ง “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เกิดๆดับๆไม่มีสิ้นสุด เจริญขึ้นก็เสื่อมลงไม่มีสิ่งใดยั่งยืน แม้พระพุทธศาสนาที่นับเป็นสิ่งอัศจรรย์ เพราะสามารถพาสัตว์โลกให้หลุดพ้นไปสู่แดนพระนิพพานได้ก็ตาม แต่ก็มิอาจฝืนกฎธรรมชาติของโลกสมมุตินี้ไปได้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะเสื่อมลงจนสูญหายไป แล้วกลับมามีพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาอีก มีแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า แลเหล่าสาวกอรหันต์เท่านั้น ที่สามารถอยู่นอกเหนือกฎธรรมชาติของโลกสมมุตินี้ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายในวัฏฏะอันน่าสงสารนี้อีกเป็นนิรันดร์กาล

กระนั้นก็ตาม แม้ชาวพม่าจะตกอยู่ในสภาพความยากลำบากในการดำรงชีวิตอยู่อย่างยากจน แต่ความศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้น กลับเป็นที่พึ่งทางใจได้อย่างเหนียวแน่น ไปในที่ไหนๆบนดินแดนพม่า ก็ยังปรากฏภาพวัดวาอารามมากมาย ชาวบ้านชาวเมืองต่างก็พากันไปวัด ต่างก็ให้ความเคารพศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา แม้แต่รองเท้าก็ไม่สวมเข้าไปภายในบริเวณวัด ส่วนจิตใจของผู้คนก็อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เห็นว่าจะเป็นคนบ้านป่าเมืองเถื่อน ตามที่ฝรั่งชาติตะวันตกสร้างวาทกรรมและสร้างภาพอันน่ากลัวไว้ ผมเองแม้ในขณะนั้น จะยังเป็นนักภาวนามือใหม่ แต่เมื่อได้ไปเยือนถิ่นพระพุทธศาสนาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาสหาเวลาหาสถานที่เพื่อนั่งภาวนาสมาธิ แผ่จิตแผ่กุศลไปตามสภาพของภูมิธรรมในขณะนั้น





 
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง
 
 
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น ตามตำนานนั้นเล่าว่า มีพี่น้องพ่อค้า 2 คน ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น แก่พ่อค้าทั้งสองไว้บูชา ว่ากันว่าเจดีย์ชเวดากองนั้นสร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-10 โดยชาวมอญ  ต่อมาพระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้าง จนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมีความสูง 98 เมตร ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แผ่นดินไหวเล็กๆน้อยๆหลายครั้งจึงทำให้พระเจดีย์ได้รับความเสียหาย และเมื่อปี พ.ศ. 2311  ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก จึงทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา ในช่วงปี พ.ศ. 2552 เจดีย์ก็ได้รับการบูรณะอย่างที่เห็นในภาพอีกครั้ง



 
 
 
พระบรมสารีริกธาตุ พระเจดีย์ และพระพุทธรูปหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ กรุงย่างกุ้ง

 
 
ตอนที่ 3 “กรุงหงสาวดี นครแห่งอดีตพระนเรศวรมหาราช”

ท่านทั้งหลาย ประเทศพม่าก็เหมือนกับประเทศต่างๆ ที่มีอยู่บนโลกสมมุติใบนี้ คือ การมีเมืองหลวงและเมืองสำคัญ ผลัดเปลี่ยนเวียนกันเจริญขึ้นแล้วก็เสื่อมลงเป็นธรรมดา กรุงหงสาวดีเมืองหลวงเก่าของพม่าที่คนไทยรู้จักกันดีก็เช่นกัน ไม่ต่างกันกับกรุงศรีอยุธยาที่เหลือไว้แต่ตำนานของเมืองเก่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองสุดขีดมาแล้ว กรุงหงสาวดี (Handawaddy) หรือ พะโค เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของอาณาจักรหงสาวดี ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำพะโค ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเมาะตะมะทางตอนใต้ของประเทศพม่า และอยู่ทางใต้ของเมืองแปร, เมืองคัง, ยะไข่, อังวะ และพุกาม เมืองหงสาวดีเดิมเป็นเมืองของชาวมอญมาก่อนในอดีต ก่อนที่พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้จะยึดครองได้ ในปี พ.ศ. 2082 หลังจากที่พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้เข้ามาทำพิธีเจาะพระกรรณที่ฐานพระธาตุมุเตาขณะที่ยังอยู่ในเขตของมอญแล้ว ต่อมาจึงได้สถาปนาเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ตองอู

จากการศึกษาในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี พอสรุปได้ว่า ต่อมาเมืองหงสาวดีได้เจริญรุ่งเรืองสุดขีดในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง เนื่องจากพระองค์ให้ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ที่ชื่อ กัมโพชธานี ซึ่งนับเป็นพระราชวังใหญ่โตมีประตูทางเข้าออกถึง 10 ประตู โดยการเกณฑ์ข้าทาสจากเมืองขึ้นต่างๆมาสร้าง โดยหนึ่งในนั้นมีเมืองเชียงใหม่และอยุธยารวมอยู่ด้วย จนถึงสมัยพระเจ้านันทบุเรงหลังศึกยุทธหัตถีแล้ว นัดจินหน่องได้ผูกมิตรกับเมืองยะไข่และอยุธยาเพื่อเข้าตีหงสาวดี แต่มหาเถรเสียมเพรียมได้ยุยงให้ตองอูไม่เข้ากับอยุธยา ดังนั้นเมื่อทัพตองอูมาถึงหงสาวดีก็ได้เข้าตีและล้อมเมืองเอาไว้ เมื่อทางหงสาวดีทราบข่าวว่า พระนเรศวรปราบทหารตามแนวชายแดนสำเร็จแล้ว จึงเปิดประตูเมืองรับทัพตองอู พระเจ้านันทบุเรงมอบสิทธิ์ขาดในการบัญชาการทัพแก่นัดจินหน่องและเชิญพระเจ้านันทบุเรงไปประทับ ณ ตองอู เพื่อเตรียมรับทัพพระนเรศวร ตองอูได้กวาดต้อนพลเรือนและทรัพย์สินไปยังตองอู ทิ้งเมืองให้ยะไข่ปล้นและเผาเมือง ส่วนพระนเรศวรมาถึงหงสาวดีก็เหลือแต่เมืองที่ถูกเผาแล้ว พระนเรศวรจึงยกทัพไปตีตองอูต่อ เหตุการณ์ดังกล่าวนับเป็นจุดจบของกรุงหงสาวดี หลังจากนั้น ศูนย์กลางอำนาจของพม่าได้ย้ายไปยังอังวะ, อมรปุระ และมัณฑะเลย์ตามลำดับ จนถึงวันที่พม่าเสียเอกราชให้แก่อังกฤษ

 
 
 
 
 
ศาสตราจารย์ ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
ณ พระราชวังกัมโพชธานีของพระเจ้าบุเรงนอง ที่ได้รับการบูรณะและสร้างขึ้นมาใหม่


อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของหงสาวดี คือ พระธาตุชเวมอดอ หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า พระธาตุมุเตา เป็นพระธาตุที่อยู่มานานคู่กับเมือง เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชื่อว่าภายในได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไว้ เล่ากันว่าเมื่อครั้งใดที่ พระเจ้าบุเรงนองจะออกทำศึกจะทรงสักการะขอพรจากพระธาตุนี้ทุกครั้ง และเมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จมายังที่หงสาวดีนี้ก็ได้ทำการสักการะพระธาตุนี้ด้วย สัญลักษณ์ของเมืองหงสาวดีที่สำคัญอีกหนึ่งคือ เป็นรูปหงส์คู่ มีตำนานเล่าว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเมืองหงสาวดีที่สมัยก่อนยังคงเป็นชายหาดริมทะเล พระพุทธเจ้าทรงเห็น หงส์สองตัวว่ายน้ำเล่นกัน จึงทำนายออกมาว่า ภายหลังจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง ชาวหงสาวดีจึงถือเอาตำนานเรื่องนี้มาเป็นสัตว์สัญลักษณ์ นอกจากนี้ ตำนานยังกล่าวว่า หงส์คู่นั้น ตัวเมียขี่ตัวผู้ จึงมีคำทำนายว่าต่อไปผู้หญิงจะเป็นใหญ่ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นคือ พระนางเชงสอบู (ตะละแม่ท้าว) นั่นเอง ปัจจุบัน หงสาวดีเป็นเมืองที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศพม่าด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยว มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และศิลปะ วัฒนธรรม (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี : ออนไลน์)

 
 
 
พระธาตุมุเตา เมืองหงสาวดี


ท่านทั้งหลาย เมื่อผมได้ก้าวไปอยู่บนแผ่นดินและเข้าสู่เขตพระราชวังเก่าแห่งเมืองหงสาวดีแล้วนั้น แม้จิตหนึ่งจะทึ่งในความยิ่งใหญ่ในอดีต แต่ในอีกใจหนึ่งกลับแลเห็นความทุกข์เศร้าหมองแฝงอยู่ในอาณาบริเวณพระราชวังเก่านั้นอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งมารับรู้ว่า สถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่พระนเรศวรเคยประทับอยู่ หรือแม้ในบางอาณาบริเวณก็เป็นสถานที่เฉพาะของเชลยชาวกรุงศรีอยุธยาอยู่อาศัย ก็ดูชั่งเงียบเหงาวังเวงเสียยิ่งกะไร ผมเสียดายที่ในครั้งนั้น สภาวธรรมและภูมิธรรมของผมยังอ่อนด้อยมาก จึงไม่สามารถสัมผัสรู้เห็นอะไรไปมากกว่าความรู้สึกนี้ จึงมิอาจจะไปช่วยเหลือชาวโลกทิพย์โลกวิญญาณที่อาจตกค้างอยู่ในภพภูมิแห่งนั้นได้ แต่พอออกมานอกเขตพระราชวังเก่าไปสู่อาณาเขตแห่งศาสนจักรคือ วัดพระธาตุมุเตาอันศักดิ์สิทธิ์กลับสงบสุขอย่างบอกไม่ถูก จิตเกิดปีติ ยิ่งเมื่อได้เอาหน้าผากสัมผัสแตะลงไปอธิษฐานบนยอดเจดีย์ที่หักลงมา ดูหน้าผากนั้นถูกดูดลงไปแนบแน่นกับพื้นยอดเจดีย์ ตอนนั้นยังไม่ประสีประสากับเรื่องอจินไตยมากนัก จึงได้แต่เก็บความรู้สึกที่มีต่อศาสนสถานอย่างเคารพศรัทธา ประหนึ่งว่า เราเคยสร้างสมบุญบารมีมาในพระพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตกาล

อ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki/หงสาวดี
 
ตอนที่ 4 “อาณาจักรพุกาม เมืองล้านเจดีย์”

อาณาจักรพุกาม (Pagan Kingdom) จากการศึกษาในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี พอสรุปได้ว่า พุกามเป็นอาณาจักรโบราณในช่วง พ.ศ. 1587 - พ.ศ. 1830 พุกามเป็นอาณาจักรและราชวงศ์แห่งแรกในประวัติศาสตร์พม่า มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพุกามในปัจจุบัน เดิมมีชื่อว่า "ผิวคาม" (แปลว่า หมู่บ้านของชาวผิว) เป็นเมืองเล็กๆ ริมทิศตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี สภาพส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายแห้งแล้ง เป็นที่อยู่ของชาวผิว ซึ่งเป็นชนพื้นเมือง ในปี พ.ศ. 1587 พุกามถูกสถาปนาโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ พระองค์ต้องทำสงครามกับชาวมอญที่อยู่ทางใต้ จึงได้สถาปนาชื่ออย่างเป็นทางการของพุกามว่า "ตะริมันตระปุระ" (หมายความว่า เมืองที่ปราบศัตรูราบคาบ)

รอบๆ เมืองพุกาม มีหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ "มินดาตุ" ซึ่งเป็นเขตเมืองโบราณ 4 แห่ง ล้อมรอบอยู่ด้วย ในรัชสมัยพระเจ้าจานสิตา กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์พุกาม เป็นสมัยที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มอญที่อยู่ยังหงสาวดีทางตอนใต้ ได้ทำสงครามชนะพุกามและครอบครองดินแดนของพุกามไว้ได้ พระองค์จึงรวบรวมชาวพม่าและชาวมอญบางส่วนตีโต้คืน จึงสามารถยึดพุกามกลับมาไว้ได้

พุกามเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดทางด้านศิลปวิทยาการในสมัยพระเจ้าอลองสิธู ใน พ.ศ. 1687 พระองค์ได้โปรดให้สร้างเจดีย์ชื่อ "ตะเบียงนิว" (แปลว่า เจดีย์แห่งความรู้) ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกามไว้ด้วย กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์พุกาม คือ พระเจ้านรสีหบดี สร้างเจดีย์องค์สุดท้ายแห่งพุกามเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 1819 และเมื่อสร้างเจดีย์องค์นี้เสร็จ ได้มีผู้ทำนายว่า อาณาจักรพุกามจะถึงกาลอวสาน ซึ่งต่อมาก็เป็นจริงดังนั้น เมื่อกองทัพมองโกลยกทัพเข้ามาบุกในปี พ.ศ. 1827 และพุกามถึงคราวล่มสลายในปี พ.ศ. 1830 รวมระยะเวลาแล้ว 243 ปี มีกษัตริย์อยู่ทั้งหมดทั้งสิ้น 11 พระองค์ อาณาจักรพุกามหลังปี พ.ศ. 1830 ถูกมองโกลยึดครองและแบ่งดินแดนออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลเชียงเมียน โดยรวมรัฐทางเหนือของพม่าเข้าด้วยกันมีเมืองตะโก้ง เป็นศูนย์กลางภายใต้การปกครองของข้าหลวงจีน มีทหารมองโกลประจำ และมณฑลเชียงชุง อยู่ทางภาคใต้ของพม่า มีพุกามเป็นศูนย์กลาง จนปี พ.ศ. 1834 จึงได้แต่งตั้งพระเจ้ากะยอชวา เป็นกษัตริย์ปกครองพุกาม ในฐานะประเทศราชของจีน (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี : ออนไลน์)


 
 
อธิการบดี คณะรองอธิการบดี คณบดี และนิสิตปริญญาเอก สาขาศิลปวัฒนธรรมวิจัย รุ่น 1 และ 2
ณ ยอดเจดีย์เมืองพุกาม ประเทศเมียนม่าร์ กุมภาพันธ์ 2552



ท่านทั้งหลาย เมื่อผมได้ย่างเท้าเข้าสู่เขตอาณาจักรพุกาม อาณาจักรแห่งพระพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่ ผมไม่เคยเห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ไม่นึกว่าเมืองเก่าเมืองโบราณแห่งนี้ก็คงเหมือนกับเมืองเก่าที่เราเคยเห็นกระมัง แต่พอได้สัมผัสและแลเห็นด้วยตาของตัวเองแล้ว โอ้โฮ วัดและเจดีย์ผุดขึ้นจากพื้นดินราวกับดอกเห็ด ยิ่งได้ขึ้นไปชมวิวบนยอดเจดีย์จนสามารถมองเห็นรอบทุกทิศทางแล้ว ภาพที่ปรากฏถึงกับอุทานออกมาว่า “อะไรกันนี่ เหมือนกับทะเลแห่งเจดีย์เลยหรือนี่” เพราะรอบๆมองไปในทิศใดก็แลเห็นแต่ยอดวัดยอดเจดีย์ใหญ่น้อยผุดขึ้นมาจากดิน เรียงรายกระจัดกระจายไปทั่ว สมกับคำเปรียบเปรยว่า “พุกามเป็นเมืองแห่งล้านเจดีย์” แม้ปัจจุบัน วัดและเจดีย์จะยังคงสภาพที่สมบูรณ์และยังเหลืออยู่ ว่ากันว่า ประมาณสี่พันเจดีย์ก็ตาม แต่นั้นก็นับว่า เป็นอาณาจักรแห่งพระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา

 
 
 
 
 
 
อาณาจักรล้านเจดีย์แห่งเมืองพุกาม

 

ท่านทั้งหลาย แม้ในขณะนั้น ขณะที่ผมยืนมองโดยรอบอยู่บนยอดเจดีย์ในขณะอาทิตย์กำลังอัสดง แม้ผมจะไม่มีญาณสัมผัสและแลเห็นสิ่งอัศจรรย์ได้ แต่ในใจของผมก็ได้สร้างภาพมโนขึ้นภายในใจว่า มีแสงสว่างของพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุทั้งหลายผุดขึ้นเป็นลำแสงสว่างไสวไปบนท้องฟ้า ประหนึ่งภาพแสงเลเซอร์ในงานเฉลิมฉลองที่เราเคยเห็นกัน หากมีโอกาสอีกครั้ง ผมคงได้ไปแผ่เมตตาแด่ดวงวิญญาณแลชาวโลกทิพย์ เพื่อให้พวกเขาพ้นจากความทุกข์ ความยึดติดยึดมั่นในภพภูมิที่อยู่มากกว่าในครั้งกระนั้น อย่างไรก็ตาม ผลบุญของผู้ที่เคยสร้างหรืออาศัยอยู่ในอาณาจักรโบราณแห่งนี้ ส่วนใหญ่ก็คงได้ผลานิสงส์สั่งสมบุญบารมีมาถึงกาลปัจจุบันนี้ จึงได้แต่อนุโมทนาสาธุกับบรรพบุรุษเหล่านั้น ที่ได้สร้างสมคุณงามความดี และผูกศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวมาถึงกาลปัจจุบัน

 
 
 
 
 
 
 
เจดีย์และพระพุทธรูปที่เมืองพุกาม
 

ท่านทั้งหลาย แม้อาณาจักรพุกามจะยิ่งใหญ่และเจริญสูงสุด ทั้งเรื่องอาณาจักรและศาสนจักรมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ความยิ่งใหญ่นั้นก็คงทนอยู่ได้เพียงชั่วระยะหนึ่ง แล้วเสื่อมความเจริญลงในที่สุด ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของโลกสมมุติ ธรรมชาติในความเป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเป็นธรรมดา ผมแลดูแล้วก็ได้แต่ปลงอนิจจังว่า สิ่งทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง เมื่อกลับไปพักในโรงแรมแล้ว ผมก็ถือโอกาสนั่งภาวนาแผ่เมตตาไปตามประสาตามสภาวะที่มีอยู่ในขณะนั้น

อ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki/อาณาจักรพุกาม

 
 
ตอนที่ 5 นิทานธรรม “ภพหนึ่งเคยเกิดและบวชเป็นพระชาวพม่า”

ท่านทั้งหลาย มีนิทานธรรมเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟังว่า มีบุรุษผู้หนึ่งระลึกอดีตได้ หลังจากนอนภาวนาจนจิตสงบปรากฏภาพขึ้นมาว่า ภพหนึ่งเคยเกิดเป็นชาวเมืองพม่าในสมัยใดยังไม่ทราบ แต่ในภาพที่ปรากฏนั้น เป็นบุรุษผิวเข้มอายุราวยี่สิบกว่าๆ ได้ออกบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ห่มจีวรสีเข้มดั่งพระพม่าในปัจจุบัน ออกบวชเพราะเบื่อทางโลก หนีความวุ่นวายเพราะมารดากำลังเลือกสตรีให้มาเป็นคู่ภรรยา เพราะมารดาเป็นผู้มีฐานะจึงจัดพิธีเลือกลูกสะใภ้ คล้ายกันกับวิธีประมูลอย่างนั้น ในภาพยังเห็นสตรีงามนางหนึ่งยิ้มแป้นเดินเข้ามาหา แต่เขาก็ได้เดินหนีจากไป ในใจของบุรุษผู้นี้บอกว่า นี่ตัวเราเองดอกหรือ เราเคยบวชเป็นพระในพม่ามาแล้วภพชาติหนึ่ง ชาวพม่าในขณะนั้นมีรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายก็เป็นแบบชาวพม่า มีวิถีความเป็นอยู่ก็แบบชาวพม่า แม้เราจะเป็นพระหนุ่มแต่ก็ฉันหมากปากแดง ในคอก็สวมสร้อยประคำดำดั่งพระพม่าผู้เคร่งครัดกรรมฐาน ต่อมาได้เห็นภาพอีกภพภูมิหนึ่ง เห็นสภาพบ้านเมืองทางภาคเหนือและแถบเมืองหลวงพระบาง ในจิตบอกว่า เขาก็เคยวนเวียนมาเกิดในภพภูมิทางแถบถิ่นนี้ และในครั้งก่อนโน้นก็ระลึกได้ว่า เขาก็เคยเกิดสร้างสมบุญบารมีอยู่แถบเมืองเชียงแสน และเรื่อยลงมาตามลุ่มแม่น้ำโขง 

นอกจากบุรุษผู้นี้จะได้รับรู้เรื่องราวอดีตชาติด้วยตัวเองแล้ว ก็ยังได้รับการบอกเล่าเรื่องราวอดีตชาติจากพระอรหันต์เจ้าองค์หนึ่งว่า บุรุษผู้นี้เคยบำเพ็ญเพียรสั่งสมบุญบารมีมาในแถบภาคอีสานหลายภพหลายชาติ ทั้งเคยสร้างพระสร้างเจดีย์ และเคยเป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรมาก็หลายภพหลายชาติ จนในที่สุด ภพใกล้สุดท้ายก็ได้บวชเป็นพระสังฆราชา ในช่วงปลายกรุงธนบุรีและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีบุญวาสนาได้ทำสังคายนาพระไตรปิฎก


    
 
 
พระสงฆ์ชาวเมียนมาร์ ณ เมืองพุกาม
 
ท่านทั้งหลาย นิทานธรรมเรื่องนี้ มิมีเจตนาให้ผู้ใดลุ่มหลงในอดีตชาติ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้ไปยึดติดเรื่องราวในอดีตที่ผ่านพ้นมาแล้ว และไม่ให้ไปคิดในเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่การกล่าวถึงอดีตชาติ แม้แต่ครูอาจารย์พระอรหันต์เจ้า ท่านก็เคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง แต่จะไม่เล่าตรงๆเพราะจะผิดวิสัยของพระผู้พ้นแล้ว การที่ท่านเล่าในแต่ละครั้ง ก็เพื่อเป็นข้อเตือนสติในสิ่งที่ลุ่มหลงในอดีตที่ผ่านมา บุรุษผู้นี้ก็ตระหนักในข้อนี้ดี แม้ในกาลต่อมา เขาจะได้อธิษฐานให้เห็นเหตุการณ์เฉพาะความเลวในอดีตชาติ เพื่อให้ใจเกิดความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด ในที่สุด ภาพความเลวของตัวเองก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นหลายภพหลายชาติ จนต้องนอนน้ำตาไหลในความเลวของตัวเองที่เคยสร้างกรรมมา อย่างไรก็ตาม นิทานธรรมเรื่องนี้ ก็เป็นแต่เพียงนิทานธรรม เป็นแต่เพียงคติเตือนใจ จึงมิใช่ความจริงให้ท่านค้นหา อ่านแล้วก็จงผ่านเลยไปเสียนะครับ

สุดท้ายนี้ เมื่อท่านทั้งหลายได้อ่านบทความเรื่อง ธรรมสัญจร "เมียนมาร์ดินแดนพระพุทธศาสนา" ต้นปี 2552 จบลงครบทุกตอนแล้ว ขอผลานิสงส์แลธรรมทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแล้ว จงย้อนกลับไปบันดาลให้ทุกท่าน จงมีแต่ความสุขความเจริญ สงบสุขร่มเย็น มั่งมีศรีสุข อายุมั่นขวัญยืน แลสว่างไสวทั้งทางโลกและทางธรรม จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรมทุกท่านเทอญ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
4 ธันวาคม 2556