ยินดีต้อนรับ

อริยธรรม ธรรมของพระอริยเจ้า ศิษย์หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

(220) เรื่องของเปรตอสูรกาย "อยู่ไม่ไกลตัว"

 

ศิลปิน : ดุริวัฒน์ ตาไธสง (เก็ต)
ชื่อภาพ : วิบากกรรม (เปรต)
เทคนิค : เครื่องปั้นดินเผา
 
 
เรื่องของเปรตอสูรกาย "อยู่ไม่ไกลตัว"

ท่านทั้งหลาย สืบเนื่องจากผมเห็นภาพผลงานเซรามิกหรือเครื่องปั้นดินเผาของหลานชาย คือ อ.ดุริวัฒน์ ตาไธสง (เก็ต) ซึ่งเป็นอาจารย์สาขาวิชาเครื่องปั้นดินเผา มหาวิ
ทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับรางวัลดีเด่น ในการประกวดเครื่องปั้นดินเผาแห่งชาติ เมื่อปีสองปีที่แล้ว ผลงานชุดนี้ เป็นผลงานที่แสดงออกถึงเรื่องราวของวิบากกรรม โดยอาศัยรูปร่างของเปรตอสูรกายมาสร้างสรรค์เป็นผลงาน เพื่อสะท้อนผลของวิบากกรรมของมนุษย์ที่ได้กระทำกรรมไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งมีชีวิต

เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว ผมจึงระลึกได้ว่า หลวงพ่อท่านเคยเทศน์เรื่องเปรตตัวหนามให้ฟัง "เปรตตัวหนาม" เป็นชื่อที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่เคยคิดว่าจะมีเปรตประเภทนี้อยู่ด้วย หลวงพ่อได้เล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อกำลังภาวนา ได้มีเปรตตนหนึ่งได้มาขอความเมตตาจากหลวงพ่อ ช่วยโปรดเขาให้พ้นจากความทุกข์ด้วยเถิด หลวงพ่อจึงถามเขาไปว่า "สร้างกรรมใดมา" เขาตอบว่า เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ เขาเป็นข้าราชการอยู่กรมทางหลวง เขาได้ใช้อำนาจเบียดเบียนหรือโกงเงินหลวงในการสร้างถนน (คอรัปชั่น) หลายครั้ง พอตายไปจึงได้มาเสวยวิบากกรรมเป็นเปรตมีหนามแหลมเต็มไปทั้งตัว ได้รับความทรมานแสนสาหัส ผลจากการโกงเงินหลวงทุกประเภท แม้จะมากจะน้อยล้วนมีกรรมหนักทั้งสิ้น กรรมที่จะพาไปเกิดเป็นเปรตอสูรกายในที่สุด ฉะนั้น ผู้ใดคิดจะกระทำอะไรเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินอันไม่บริสุทธิ์ ได้โปรดหวนระลึกถึงอุทาหรณ์เรื่องนี้สักนิด เพราะกรรมนี้ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ซื่อตรงเสมอ

นอกจากเรื่องนี้แล้ว บุรุษผู้หนึ่งก็เคยนิมิตเห็นสัตว์นรกตนหนึ่ง มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว เป็นผู้หญิงเปลือยกาย ตัวมีพุงเหมือนมีท้อง หัวมีตาเดียว จมูกยื่น กำลังหากินอยู่ในกองอาจมมีแต่มูตรคูถ ในมือกำลังจับสัตว์นรกตัวเล็กรูปร่างเป็นอวัยวะทั้งหญิงและชาย จับเข้าปากกลืนกิน น่าขยะแขยง และน่าสะอิดสะเอียนเป็นยิ่งนัก ในจิตบอกว่า เป็นสัตว์นรกตนหนึ่ง พอตอนเช้าก็เห็นข่าวในเว็บไซต์ว่า มีสตรีผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เธอได้ล่วงเกินด่าว่าแม่ชีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านหนึ่งผ่านทางสื่อมวลชน อย่างเสียหายสารพันข้อหา ทั้งที่ตัวเธอเองก็เคยถ่ายภาพนู๊ดมาแล้ว หรือนี้คือ ภาพแสดงให้รู้ว่า การที่ผู้ใดไปกล่าวล่วงเกินผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างเสียหาย โดยไม่ได้คำนึงว่าตนเองนั้นมีความดีอยู่หรือไม่ ผลของวิบากกรรมจึงแสดงออกมาให้เห็นในรูปลักษณะนั้น

ท่านทั้งหลาย ผมนำเอาเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง ก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้เราได้ตระหนักถึงผลของการละเมิดศีล ก็ย่อมได้รับผลวิบากกรรม หนักเบาขึ้นอยู่กับการกระทำนั้นอย่างเที่ยงตรง ขอจงพิจารณา

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
18 ธันวาคม 2556



 


วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

(217) สภาวธรรม "วันพ่อ ๕ ธันวามหาราช"

 
 
 
สภาวธรรม “วันพ่อ ๕ ธันวามหาราช”

เช้านี้วันดีเป็นศรีวันพ่อ 
ลูกขอนั่งภาวนาถวาย
จิตสงบสุขแลสบายกาย 
สว่างไสวไปทั่วอินทรีย์
จิตพิจารณาธรรมข้อนี้ 
ตั้งแต่ตีสี่จนถึงรุ่งเช้า
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เป็นคราวคราว 
พอรุ่งเช้าจิตจึงถอนออกมา

แผ่เมตตาแล้วจิตยังสงบ 
จิตปรารภขอภาวนาต่อหนา
จึงเอนกายลงนอนภาวนา 
เพียงห้านาทีจิตถอดจากกาย
จงกรมภาวนาซ้ายขวาซ้าย 
มีแต่ใจเบาหวิวลอยขึ้นฟ้า
พลันเสียงระเบิดดังปั้งตามมา 
จิตรู้ว่า นี้คือสภาวธรรม

จิตปีติเบาหวิวอย่างประหลาด 
สู่นภากาศว่างสว่างล้ำ
นี่ล่ะหนอคือปีติสุขแห่งธรรม 
สุขเลิศล้ำเกินกว่าคำบรรยาย
ขอบุญนี้ถวายแด่พระองค์ท่าน 
จงดลบันดาลให้ทุกข์โศกหาย
สว่างไสวทั้งพระวรกาย 
พระหฤทัยจงทรงพระเจริญ

ธรรมใดใดที่ได้บังเกิดแล้ว 
ขอพรแก้วรัตนะสรรเสริญ
แผ่ถึงทุกท่านโดยพลันเทอญ 
ขอเจริญธรรมแลเจริญใจ
ขอให้มีความสุขสวัสดี 
ตลอดปีนี้และตลอดไป
ขอให้สว่างไสวทั้งกายใจ 
แลขอให้ถึงนิพพานทุกท่านเทอญ

เหตุเกิดเมื่อเช้านี้
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
๕ ธันวาคม ๒๕๕๖



วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

(216) ธรรมสัญจร "เมียนมาร์ดินแดนพระพุทธศาสนา" ต้นปี 2552

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล



ตอนที่ 1 "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สัจธรรมของโลกสมมุติ"


ท่านทั้งหลาย ท่านคงทราบกันแล้วว่า ในอดีตพระพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองสุดขีดในอินเดียสมัยเมื่อครั้งพุทธกาล และในเวลาต่อมาก็ได้แผ่ขยายมาสู่ประเทศไทย และในอีกหลายๆประเทศแถบเอเชีย จนในที่สุดพระพุทธศาสนาก็เสื่อมความนิยมลงไปตามลำดับ แม้แต่ในอินเดียอันเป็นดินแดนต้นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า ก็เสื่อมลงจนแทบไม่หลงเหลือความเป็นต้นวงศ์ของพระพุทธศาสนา เพราะนี้คือ ธรรมชาติของโลกสมมุติ ธรรมชาติที่แสดงออกมาอย่างเที่ยงตรงในกฎไตรลักษณ์ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ดั่งองค์พระสัมมาได้ตรัสรู้ไว้ดีแล้ว แม้ในกาลปัจจุบัน จะล่วงเลยมาจนถึงช่วงกึ่งกลางพระพุทธศาสนาแล้วก็ตาม ธรรมชาติของอนิจจังก็ยังดำเนินต่อไป แม้แต่ในประเทศไทยอันเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาที่ยังคงรุ่งเรืองสูงสุดในปัจจุบัน ก็เริ่มเสื่อมลง และจะยังดำเนินไปได้อีกราวสองร้อยปีข้างหน้า พุทธศาสนาในประเทศไทยก็จะอ่อนกำลังลง แล้วจะไปปรากฏความรุ่งเรืองในประเทศแถบรัสเซียในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า และจะเบนไปสู่ประเทศอเมริกาในกาลข้างหน้าในที่สุด (เรื่องนี้รู้ด้วยอาสวักขยญาณอันกว้างไกลของพระอรหันต์เจ้าองค์หนึ่ง)



ภาพวาดการสร้างวัดในพม่า



ท่านทั้งหลาย ผมเองมีโอกาสได้ไปเยือนประเทศพม่าหรือเมียนมาร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ. 2552 ในฐานะศิษย์รุ่นพี่ของนิสิตปริญญาเอก สาขาศิลปวัฒนธรรมวิจัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร โดยการนำของคณะครูอาจารย์มี ศาสตราจารย์ ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีในขณะนั้น รวมทั้งคณะผู้บริหาร และนิสิตปริญญาเอกจำนวนหนึ่ง คณะพวกเราได้ท่องเที่ยวไป ศึกษาศิลปวัฒนธรรมและศาสนสถานสำคัญของพม่าในสามเมืองใหญ่คือ ย่างกุ้ง หงสาวดี และพุกาม สภาพทั่วไปของพม่าในเวลานั้น ประชาชนส่วนใหญ่ยากจนมาก สภาพบ้านเมืองไม่มีความเจริญเอาเสียเลย ดูแล้วชั่งหดหู่ในหัวใจ ประหนึ่งว่า พวกเขากำลังเสวยกรรมบางอย่างในอดีต เป็นการย้อนกลับมาเสวยวิบากกรรมใหญ่ร่วมกันอีกครั้ง ฤานี่จะเป็นผลมาจากการเผาบ้านเผาเมืองผู้อื่น เผาแม้กระทั่งวัดวาอาราม แม้แต่พระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ก็มิมีละเว้น เป็นการเผาหัวใจของตัวเอง เพราะพระพุทธศาสนา ก็เป็นศาสนาที่ตนเองนับถืออยู่ ก็เพราะด้วยความหลงในอำนาจ ไฟแห่งความหลงจึงร้อนลุ่มมาจนกระทั่งบัดนี้



 
ชาวเมียนมาร์ในเมืองพุกาม



แต่เมื่อกลับมาย้อนดูประเทศไทยในปัจจุบัน ก็คงไม่ต่างกัน เพราะผู้นำและประชาชนทุกฝ่ายกำลังหลง หลงในบางสิ่งจนนำไปสู่ความวุ่นวาย ต่างแยกฝ่ายแยกพวกไปร่วมกันสร้างกรรม กรรมดีหรือกรรมชั่วนั้นก็ไม่รู้ เพราะไม่สามารถแยกแยะออกด้วยเพราะมีโมหะและโทสะจริต ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน จนลืมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อสร้างกรรมร่วมกันแล้ว กรรมนั้นก็จะไปบังเกิดขึ้นในกาลข้างหน้าอย่างซื่อสัตย์ซื่อตรง แม้ใครจะทราบหรือไม่ทราบกรรมนั้นก็ตาม เรื่องแบบนี้แม้แต่พระอรหันต์เจ้าท่านก็สังเวชในกรรมเหล่านั้น เพราะท่านได้แลเห็นกรรมนั้นแล้ว ท่านเคยเอ่ยกับบุรุษผู้หนึ่งว่า  “ผู้ใดไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นโดยเฉพาะสุจริตชน ให้เขาลำบากในการทำมาหากิน ปิดกั้นขวางทางหรือทำลายข้าวของวัตถุ แลจิตใจของผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หรือด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม กรรมนั้นก็จะย้อนกลับไปขัดขวางการทำมาหากิน และความเจริญในทุกๆด้านในภพกาลข้างหน้า" ฉะนั้น หากมีบุญได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก พวกเขาก็จะเสวยวิบากกรรมแลความทุกข์ที่ได้กระทำมานั้นทันที ดังนั้น นักภาวนาหรือนักสร้างบุญทั้งหลาย ควรหลีกเลี่ยงกรรมด้วยการวางใจไว้แบบกลางๆ มีความเมตตาต่อทุกฝ่าย ยึดหลักพรหมวิหารสี่ และแผ่บุญกุศลออกไปตามกำลังจิตกำลังบุญที่มี จึงจะสมควรแก่การได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และเป็นการกระทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาต่อสัตว์โลกอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนดีคนชั่ว กษัตริย์ คนรวย ผู้อนาถายาจก คนต่ำต้อยขอทาน ผู้สกปรกมีกลิ่นเหม็นแลโรคร้าย หรือแม้แต่ผู้นับถือศาสนาและลัทธิอื่นๆ พระพุทธองค์ก็ไม่เคยรังเกียจ จึงขอให้ทุกท่านจงพิจารณา



ตอนที่ 2 “พระพุทธศาสนายังมั่นคงในความศรัทธาของชาวพม่า”

ท่านทั้งหลาย ประเทศพม่าเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 40 ของโลก และใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน โดยมีประชากรกว่า 60 ล้านคน ในอดีตประเทศพม่าเคยรุ่งเรืองคู่กันมากับประเทศไทย แต่เมื่อได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2491 เป็นต้นมา ประเทศพม่าก็เผชิญกับหนึ่งในสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อที่สุด ท่ามกลางกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่มากมาย ซึ่งยังแก้ไม่ตก และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ถึง 2554 ประเทศพม่าก็ตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร แม้ในช่วงหลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2553 จะได้มีการตั้งรัฐบาลพลเรือนในนามแทน และคณะผู้ยึดอำนาจการปกครองจะถูกยุบอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2554 ก็ตาม แต่ในปัจจุบันทหารก็ยังคงมีอิทธิพลมากอยู่เช่นเดิม

ท่านทั้งหลาย ความวุ่นวายต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศพม่า ก็เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของโลกสมมุติ ธรรมชาติที่เหมือนกันกับทุกชนชาติทุกศาสนาบนโลกสมมุติใบนี้ และเป็นธรรมชาติที่เวียนว่ายตายเกิดขึ้นในวัฏฏะซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้จะหมื่นจะพันล้านปีที่แล้ว หรือจะในอีกกี่หมื่นล้านปีข้างหน้า จะอยู่ในกาลพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดๆ หรือจะอยู่ในช่วงว่างเว้นจากพระพุทธศาสนาในช่วงกาลใดๆ ธรรมชาติของโลกแลสรรพสัตว์ก็จะบังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะนี้คือกฎแห่ง “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เกิดๆดับๆไม่มีสิ้นสุด เจริญขึ้นก็เสื่อมลงไม่มีสิ่งใดยั่งยืน แม้พระพุทธศาสนาที่นับเป็นสิ่งอัศจรรย์ เพราะสามารถพาสัตว์โลกให้หลุดพ้นไปสู่แดนพระนิพพานได้ก็ตาม แต่ก็มิอาจฝืนกฎธรรมชาติของโลกสมมุตินี้ไปได้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะเสื่อมลงจนสูญหายไป แล้วกลับมามีพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาอีก มีแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า แลเหล่าสาวกอรหันต์เท่านั้น ที่สามารถอยู่นอกเหนือกฎธรรมชาติของโลกสมมุตินี้ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายในวัฏฏะอันน่าสงสารนี้อีกเป็นนิรันดร์กาล

กระนั้นก็ตาม แม้ชาวพม่าจะตกอยู่ในสภาพความยากลำบากในการดำรงชีวิตอยู่อย่างยากจน แต่ความศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้น กลับเป็นที่พึ่งทางใจได้อย่างเหนียวแน่น ไปในที่ไหนๆบนดินแดนพม่า ก็ยังปรากฏภาพวัดวาอารามมากมาย ชาวบ้านชาวเมืองต่างก็พากันไปวัด ต่างก็ให้ความเคารพศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา แม้แต่รองเท้าก็ไม่สวมเข้าไปภายในบริเวณวัด ส่วนจิตใจของผู้คนก็อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เห็นว่าจะเป็นคนบ้านป่าเมืองเถื่อน ตามที่ฝรั่งชาติตะวันตกสร้างวาทกรรมและสร้างภาพอันน่ากลัวไว้ ผมเองแม้ในขณะนั้น จะยังเป็นนักภาวนามือใหม่ แต่เมื่อได้ไปเยือนถิ่นพระพุทธศาสนาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาสหาเวลาหาสถานที่เพื่อนั่งภาวนาสมาธิ แผ่จิตแผ่กุศลไปตามสภาพของภูมิธรรมในขณะนั้น





 
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง
 
 
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น ตามตำนานนั้นเล่าว่า มีพี่น้องพ่อค้า 2 คน ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น แก่พ่อค้าทั้งสองไว้บูชา ว่ากันว่าเจดีย์ชเวดากองนั้นสร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-10 โดยชาวมอญ  ต่อมาพระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้าง จนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมีความสูง 98 เมตร ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แผ่นดินไหวเล็กๆน้อยๆหลายครั้งจึงทำให้พระเจดีย์ได้รับความเสียหาย และเมื่อปี พ.ศ. 2311  ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก จึงทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา ในช่วงปี พ.ศ. 2552 เจดีย์ก็ได้รับการบูรณะอย่างที่เห็นในภาพอีกครั้ง



 
 
 
พระบรมสารีริกธาตุ พระเจดีย์ และพระพุทธรูปหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ กรุงย่างกุ้ง

 
 
ตอนที่ 3 “กรุงหงสาวดี นครแห่งอดีตพระนเรศวรมหาราช”

ท่านทั้งหลาย ประเทศพม่าก็เหมือนกับประเทศต่างๆ ที่มีอยู่บนโลกสมมุติใบนี้ คือ การมีเมืองหลวงและเมืองสำคัญ ผลัดเปลี่ยนเวียนกันเจริญขึ้นแล้วก็เสื่อมลงเป็นธรรมดา กรุงหงสาวดีเมืองหลวงเก่าของพม่าที่คนไทยรู้จักกันดีก็เช่นกัน ไม่ต่างกันกับกรุงศรีอยุธยาที่เหลือไว้แต่ตำนานของเมืองเก่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองสุดขีดมาแล้ว กรุงหงสาวดี (Handawaddy) หรือ พะโค เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของอาณาจักรหงสาวดี ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำพะโค ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเมาะตะมะทางตอนใต้ของประเทศพม่า และอยู่ทางใต้ของเมืองแปร, เมืองคัง, ยะไข่, อังวะ และพุกาม เมืองหงสาวดีเดิมเป็นเมืองของชาวมอญมาก่อนในอดีต ก่อนที่พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้จะยึดครองได้ ในปี พ.ศ. 2082 หลังจากที่พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้เข้ามาทำพิธีเจาะพระกรรณที่ฐานพระธาตุมุเตาขณะที่ยังอยู่ในเขตของมอญแล้ว ต่อมาจึงได้สถาปนาเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ตองอู

จากการศึกษาในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี พอสรุปได้ว่า ต่อมาเมืองหงสาวดีได้เจริญรุ่งเรืองสุดขีดในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง เนื่องจากพระองค์ให้ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ที่ชื่อ กัมโพชธานี ซึ่งนับเป็นพระราชวังใหญ่โตมีประตูทางเข้าออกถึง 10 ประตู โดยการเกณฑ์ข้าทาสจากเมืองขึ้นต่างๆมาสร้าง โดยหนึ่งในนั้นมีเมืองเชียงใหม่และอยุธยารวมอยู่ด้วย จนถึงสมัยพระเจ้านันทบุเรงหลังศึกยุทธหัตถีแล้ว นัดจินหน่องได้ผูกมิตรกับเมืองยะไข่และอยุธยาเพื่อเข้าตีหงสาวดี แต่มหาเถรเสียมเพรียมได้ยุยงให้ตองอูไม่เข้ากับอยุธยา ดังนั้นเมื่อทัพตองอูมาถึงหงสาวดีก็ได้เข้าตีและล้อมเมืองเอาไว้ เมื่อทางหงสาวดีทราบข่าวว่า พระนเรศวรปราบทหารตามแนวชายแดนสำเร็จแล้ว จึงเปิดประตูเมืองรับทัพตองอู พระเจ้านันทบุเรงมอบสิทธิ์ขาดในการบัญชาการทัพแก่นัดจินหน่องและเชิญพระเจ้านันทบุเรงไปประทับ ณ ตองอู เพื่อเตรียมรับทัพพระนเรศวร ตองอูได้กวาดต้อนพลเรือนและทรัพย์สินไปยังตองอู ทิ้งเมืองให้ยะไข่ปล้นและเผาเมือง ส่วนพระนเรศวรมาถึงหงสาวดีก็เหลือแต่เมืองที่ถูกเผาแล้ว พระนเรศวรจึงยกทัพไปตีตองอูต่อ เหตุการณ์ดังกล่าวนับเป็นจุดจบของกรุงหงสาวดี หลังจากนั้น ศูนย์กลางอำนาจของพม่าได้ย้ายไปยังอังวะ, อมรปุระ และมัณฑะเลย์ตามลำดับ จนถึงวันที่พม่าเสียเอกราชให้แก่อังกฤษ

 
 
 
 
 
ศาสตราจารย์ ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
ณ พระราชวังกัมโพชธานีของพระเจ้าบุเรงนอง ที่ได้รับการบูรณะและสร้างขึ้นมาใหม่


อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของหงสาวดี คือ พระธาตุชเวมอดอ หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า พระธาตุมุเตา เป็นพระธาตุที่อยู่มานานคู่กับเมือง เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชื่อว่าภายในได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไว้ เล่ากันว่าเมื่อครั้งใดที่ พระเจ้าบุเรงนองจะออกทำศึกจะทรงสักการะขอพรจากพระธาตุนี้ทุกครั้ง และเมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จมายังที่หงสาวดีนี้ก็ได้ทำการสักการะพระธาตุนี้ด้วย สัญลักษณ์ของเมืองหงสาวดีที่สำคัญอีกหนึ่งคือ เป็นรูปหงส์คู่ มีตำนานเล่าว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเมืองหงสาวดีที่สมัยก่อนยังคงเป็นชายหาดริมทะเล พระพุทธเจ้าทรงเห็น หงส์สองตัวว่ายน้ำเล่นกัน จึงทำนายออกมาว่า ภายหลังจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง ชาวหงสาวดีจึงถือเอาตำนานเรื่องนี้มาเป็นสัตว์สัญลักษณ์ นอกจากนี้ ตำนานยังกล่าวว่า หงส์คู่นั้น ตัวเมียขี่ตัวผู้ จึงมีคำทำนายว่าต่อไปผู้หญิงจะเป็นใหญ่ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นคือ พระนางเชงสอบู (ตะละแม่ท้าว) นั่นเอง ปัจจุบัน หงสาวดีเป็นเมืองที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศพม่าด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยว มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และศิลปะ วัฒนธรรม (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี : ออนไลน์)

 
 
 
พระธาตุมุเตา เมืองหงสาวดี


ท่านทั้งหลาย เมื่อผมได้ก้าวไปอยู่บนแผ่นดินและเข้าสู่เขตพระราชวังเก่าแห่งเมืองหงสาวดีแล้วนั้น แม้จิตหนึ่งจะทึ่งในความยิ่งใหญ่ในอดีต แต่ในอีกใจหนึ่งกลับแลเห็นความทุกข์เศร้าหมองแฝงอยู่ในอาณาบริเวณพระราชวังเก่านั้นอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งมารับรู้ว่า สถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่พระนเรศวรเคยประทับอยู่ หรือแม้ในบางอาณาบริเวณก็เป็นสถานที่เฉพาะของเชลยชาวกรุงศรีอยุธยาอยู่อาศัย ก็ดูชั่งเงียบเหงาวังเวงเสียยิ่งกะไร ผมเสียดายที่ในครั้งนั้น สภาวธรรมและภูมิธรรมของผมยังอ่อนด้อยมาก จึงไม่สามารถสัมผัสรู้เห็นอะไรไปมากกว่าความรู้สึกนี้ จึงมิอาจจะไปช่วยเหลือชาวโลกทิพย์โลกวิญญาณที่อาจตกค้างอยู่ในภพภูมิแห่งนั้นได้ แต่พอออกมานอกเขตพระราชวังเก่าไปสู่อาณาเขตแห่งศาสนจักรคือ วัดพระธาตุมุเตาอันศักดิ์สิทธิ์กลับสงบสุขอย่างบอกไม่ถูก จิตเกิดปีติ ยิ่งเมื่อได้เอาหน้าผากสัมผัสแตะลงไปอธิษฐานบนยอดเจดีย์ที่หักลงมา ดูหน้าผากนั้นถูกดูดลงไปแนบแน่นกับพื้นยอดเจดีย์ ตอนนั้นยังไม่ประสีประสากับเรื่องอจินไตยมากนัก จึงได้แต่เก็บความรู้สึกที่มีต่อศาสนสถานอย่างเคารพศรัทธา ประหนึ่งว่า เราเคยสร้างสมบุญบารมีมาในพระพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตกาล

อ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki/หงสาวดี
 
ตอนที่ 4 “อาณาจักรพุกาม เมืองล้านเจดีย์”

อาณาจักรพุกาม (Pagan Kingdom) จากการศึกษาในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี พอสรุปได้ว่า พุกามเป็นอาณาจักรโบราณในช่วง พ.ศ. 1587 - พ.ศ. 1830 พุกามเป็นอาณาจักรและราชวงศ์แห่งแรกในประวัติศาสตร์พม่า มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพุกามในปัจจุบัน เดิมมีชื่อว่า "ผิวคาม" (แปลว่า หมู่บ้านของชาวผิว) เป็นเมืองเล็กๆ ริมทิศตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี สภาพส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายแห้งแล้ง เป็นที่อยู่ของชาวผิว ซึ่งเป็นชนพื้นเมือง ในปี พ.ศ. 1587 พุกามถูกสถาปนาโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ พระองค์ต้องทำสงครามกับชาวมอญที่อยู่ทางใต้ จึงได้สถาปนาชื่ออย่างเป็นทางการของพุกามว่า "ตะริมันตระปุระ" (หมายความว่า เมืองที่ปราบศัตรูราบคาบ)

รอบๆ เมืองพุกาม มีหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ "มินดาตุ" ซึ่งเป็นเขตเมืองโบราณ 4 แห่ง ล้อมรอบอยู่ด้วย ในรัชสมัยพระเจ้าจานสิตา กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์พุกาม เป็นสมัยที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มอญที่อยู่ยังหงสาวดีทางตอนใต้ ได้ทำสงครามชนะพุกามและครอบครองดินแดนของพุกามไว้ได้ พระองค์จึงรวบรวมชาวพม่าและชาวมอญบางส่วนตีโต้คืน จึงสามารถยึดพุกามกลับมาไว้ได้

พุกามเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดทางด้านศิลปวิทยาการในสมัยพระเจ้าอลองสิธู ใน พ.ศ. 1687 พระองค์ได้โปรดให้สร้างเจดีย์ชื่อ "ตะเบียงนิว" (แปลว่า เจดีย์แห่งความรู้) ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกามไว้ด้วย กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์พุกาม คือ พระเจ้านรสีหบดี สร้างเจดีย์องค์สุดท้ายแห่งพุกามเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 1819 และเมื่อสร้างเจดีย์องค์นี้เสร็จ ได้มีผู้ทำนายว่า อาณาจักรพุกามจะถึงกาลอวสาน ซึ่งต่อมาก็เป็นจริงดังนั้น เมื่อกองทัพมองโกลยกทัพเข้ามาบุกในปี พ.ศ. 1827 และพุกามถึงคราวล่มสลายในปี พ.ศ. 1830 รวมระยะเวลาแล้ว 243 ปี มีกษัตริย์อยู่ทั้งหมดทั้งสิ้น 11 พระองค์ อาณาจักรพุกามหลังปี พ.ศ. 1830 ถูกมองโกลยึดครองและแบ่งดินแดนออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลเชียงเมียน โดยรวมรัฐทางเหนือของพม่าเข้าด้วยกันมีเมืองตะโก้ง เป็นศูนย์กลางภายใต้การปกครองของข้าหลวงจีน มีทหารมองโกลประจำ และมณฑลเชียงชุง อยู่ทางภาคใต้ของพม่า มีพุกามเป็นศูนย์กลาง จนปี พ.ศ. 1834 จึงได้แต่งตั้งพระเจ้ากะยอชวา เป็นกษัตริย์ปกครองพุกาม ในฐานะประเทศราชของจีน (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี : ออนไลน์)


 
 
อธิการบดี คณะรองอธิการบดี คณบดี และนิสิตปริญญาเอก สาขาศิลปวัฒนธรรมวิจัย รุ่น 1 และ 2
ณ ยอดเจดีย์เมืองพุกาม ประเทศเมียนม่าร์ กุมภาพันธ์ 2552



ท่านทั้งหลาย เมื่อผมได้ย่างเท้าเข้าสู่เขตอาณาจักรพุกาม อาณาจักรแห่งพระพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่ ผมไม่เคยเห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ไม่นึกว่าเมืองเก่าเมืองโบราณแห่งนี้ก็คงเหมือนกับเมืองเก่าที่เราเคยเห็นกระมัง แต่พอได้สัมผัสและแลเห็นด้วยตาของตัวเองแล้ว โอ้โฮ วัดและเจดีย์ผุดขึ้นจากพื้นดินราวกับดอกเห็ด ยิ่งได้ขึ้นไปชมวิวบนยอดเจดีย์จนสามารถมองเห็นรอบทุกทิศทางแล้ว ภาพที่ปรากฏถึงกับอุทานออกมาว่า “อะไรกันนี่ เหมือนกับทะเลแห่งเจดีย์เลยหรือนี่” เพราะรอบๆมองไปในทิศใดก็แลเห็นแต่ยอดวัดยอดเจดีย์ใหญ่น้อยผุดขึ้นมาจากดิน เรียงรายกระจัดกระจายไปทั่ว สมกับคำเปรียบเปรยว่า “พุกามเป็นเมืองแห่งล้านเจดีย์” แม้ปัจจุบัน วัดและเจดีย์จะยังคงสภาพที่สมบูรณ์และยังเหลืออยู่ ว่ากันว่า ประมาณสี่พันเจดีย์ก็ตาม แต่นั้นก็นับว่า เป็นอาณาจักรแห่งพระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา

 
 
 
 
 
 
อาณาจักรล้านเจดีย์แห่งเมืองพุกาม

 

ท่านทั้งหลาย แม้ในขณะนั้น ขณะที่ผมยืนมองโดยรอบอยู่บนยอดเจดีย์ในขณะอาทิตย์กำลังอัสดง แม้ผมจะไม่มีญาณสัมผัสและแลเห็นสิ่งอัศจรรย์ได้ แต่ในใจของผมก็ได้สร้างภาพมโนขึ้นภายในใจว่า มีแสงสว่างของพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุทั้งหลายผุดขึ้นเป็นลำแสงสว่างไสวไปบนท้องฟ้า ประหนึ่งภาพแสงเลเซอร์ในงานเฉลิมฉลองที่เราเคยเห็นกัน หากมีโอกาสอีกครั้ง ผมคงได้ไปแผ่เมตตาแด่ดวงวิญญาณแลชาวโลกทิพย์ เพื่อให้พวกเขาพ้นจากความทุกข์ ความยึดติดยึดมั่นในภพภูมิที่อยู่มากกว่าในครั้งกระนั้น อย่างไรก็ตาม ผลบุญของผู้ที่เคยสร้างหรืออาศัยอยู่ในอาณาจักรโบราณแห่งนี้ ส่วนใหญ่ก็คงได้ผลานิสงส์สั่งสมบุญบารมีมาถึงกาลปัจจุบันนี้ จึงได้แต่อนุโมทนาสาธุกับบรรพบุรุษเหล่านั้น ที่ได้สร้างสมคุณงามความดี และผูกศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวมาถึงกาลปัจจุบัน

 
 
 
 
 
 
 
เจดีย์และพระพุทธรูปที่เมืองพุกาม
 

ท่านทั้งหลาย แม้อาณาจักรพุกามจะยิ่งใหญ่และเจริญสูงสุด ทั้งเรื่องอาณาจักรและศาสนจักรมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ความยิ่งใหญ่นั้นก็คงทนอยู่ได้เพียงชั่วระยะหนึ่ง แล้วเสื่อมความเจริญลงในที่สุด ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของโลกสมมุติ ธรรมชาติในความเป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเป็นธรรมดา ผมแลดูแล้วก็ได้แต่ปลงอนิจจังว่า สิ่งทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง เมื่อกลับไปพักในโรงแรมแล้ว ผมก็ถือโอกาสนั่งภาวนาแผ่เมตตาไปตามประสาตามสภาวะที่มีอยู่ในขณะนั้น

อ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki/อาณาจักรพุกาม

 
 
ตอนที่ 5 นิทานธรรม “ภพหนึ่งเคยเกิดและบวชเป็นพระชาวพม่า”

ท่านทั้งหลาย มีนิทานธรรมเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟังว่า มีบุรุษผู้หนึ่งระลึกอดีตได้ หลังจากนอนภาวนาจนจิตสงบปรากฏภาพขึ้นมาว่า ภพหนึ่งเคยเกิดเป็นชาวเมืองพม่าในสมัยใดยังไม่ทราบ แต่ในภาพที่ปรากฏนั้น เป็นบุรุษผิวเข้มอายุราวยี่สิบกว่าๆ ได้ออกบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ห่มจีวรสีเข้มดั่งพระพม่าในปัจจุบัน ออกบวชเพราะเบื่อทางโลก หนีความวุ่นวายเพราะมารดากำลังเลือกสตรีให้มาเป็นคู่ภรรยา เพราะมารดาเป็นผู้มีฐานะจึงจัดพิธีเลือกลูกสะใภ้ คล้ายกันกับวิธีประมูลอย่างนั้น ในภาพยังเห็นสตรีงามนางหนึ่งยิ้มแป้นเดินเข้ามาหา แต่เขาก็ได้เดินหนีจากไป ในใจของบุรุษผู้นี้บอกว่า นี่ตัวเราเองดอกหรือ เราเคยบวชเป็นพระในพม่ามาแล้วภพชาติหนึ่ง ชาวพม่าในขณะนั้นมีรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายก็เป็นแบบชาวพม่า มีวิถีความเป็นอยู่ก็แบบชาวพม่า แม้เราจะเป็นพระหนุ่มแต่ก็ฉันหมากปากแดง ในคอก็สวมสร้อยประคำดำดั่งพระพม่าผู้เคร่งครัดกรรมฐาน ต่อมาได้เห็นภาพอีกภพภูมิหนึ่ง เห็นสภาพบ้านเมืองทางภาคเหนือและแถบเมืองหลวงพระบาง ในจิตบอกว่า เขาก็เคยวนเวียนมาเกิดในภพภูมิทางแถบถิ่นนี้ และในครั้งก่อนโน้นก็ระลึกได้ว่า เขาก็เคยเกิดสร้างสมบุญบารมีอยู่แถบเมืองเชียงแสน และเรื่อยลงมาตามลุ่มแม่น้ำโขง 

นอกจากบุรุษผู้นี้จะได้รับรู้เรื่องราวอดีตชาติด้วยตัวเองแล้ว ก็ยังได้รับการบอกเล่าเรื่องราวอดีตชาติจากพระอรหันต์เจ้าองค์หนึ่งว่า บุรุษผู้นี้เคยบำเพ็ญเพียรสั่งสมบุญบารมีมาในแถบภาคอีสานหลายภพหลายชาติ ทั้งเคยสร้างพระสร้างเจดีย์ และเคยเป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรมาก็หลายภพหลายชาติ จนในที่สุด ภพใกล้สุดท้ายก็ได้บวชเป็นพระสังฆราชา ในช่วงปลายกรุงธนบุรีและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีบุญวาสนาได้ทำสังคายนาพระไตรปิฎก


    
 
 
พระสงฆ์ชาวเมียนมาร์ ณ เมืองพุกาม
 
ท่านทั้งหลาย นิทานธรรมเรื่องนี้ มิมีเจตนาให้ผู้ใดลุ่มหลงในอดีตชาติ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้ไปยึดติดเรื่องราวในอดีตที่ผ่านพ้นมาแล้ว และไม่ให้ไปคิดในเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่การกล่าวถึงอดีตชาติ แม้แต่ครูอาจารย์พระอรหันต์เจ้า ท่านก็เคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง แต่จะไม่เล่าตรงๆเพราะจะผิดวิสัยของพระผู้พ้นแล้ว การที่ท่านเล่าในแต่ละครั้ง ก็เพื่อเป็นข้อเตือนสติในสิ่งที่ลุ่มหลงในอดีตที่ผ่านมา บุรุษผู้นี้ก็ตระหนักในข้อนี้ดี แม้ในกาลต่อมา เขาจะได้อธิษฐานให้เห็นเหตุการณ์เฉพาะความเลวในอดีตชาติ เพื่อให้ใจเกิดความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด ในที่สุด ภาพความเลวของตัวเองก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นหลายภพหลายชาติ จนต้องนอนน้ำตาไหลในความเลวของตัวเองที่เคยสร้างกรรมมา อย่างไรก็ตาม นิทานธรรมเรื่องนี้ ก็เป็นแต่เพียงนิทานธรรม เป็นแต่เพียงคติเตือนใจ จึงมิใช่ความจริงให้ท่านค้นหา อ่านแล้วก็จงผ่านเลยไปเสียนะครับ

สุดท้ายนี้ เมื่อท่านทั้งหลายได้อ่านบทความเรื่อง ธรรมสัญจร "เมียนมาร์ดินแดนพระพุทธศาสนา" ต้นปี 2552 จบลงครบทุกตอนแล้ว ขอผลานิสงส์แลธรรมทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแล้ว จงย้อนกลับไปบันดาลให้ทุกท่าน จงมีแต่ความสุขความเจริญ สงบสุขร่มเย็น มั่งมีศรีสุข อายุมั่นขวัญยืน แลสว่างไสวทั้งทางโลกและทางธรรม จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรมทุกท่านเทอญ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
4 ธันวาคม 2556
 
 
 

 


วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

(213) สติปัฏฐาน ๔

 
 

สติปัฏฐาน ๔

พิจารณาให้เห็น กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม โดยเริ่มกำหนดรู้เบื้องต้นตั้งแต่ลมเข้าลมออกเป็นอานาปานสติ ตามรู้อยู่แล้ววิถีจิตจักดำเนินไปเอง เมื่ออินทรีย์แก่กล้าความสำเร็จในขั้นใดขั้นหนึ่งจักบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเหล่าสาวกตามข้อความข้างล่างนี้
 
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖


....................................................................

[๒๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด เมื่อภิกษุหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวลมหายใจออก ลมหายใจเข้านี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่งในพวกกาย เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ
 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจออกว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการใส่ใจลมหายใจออกลมหายใจเข้าเป็นอย่างดีนี้ ว่าเป็นเวทนาชนิดหนึ่ง ในพวกเวทนา เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ฯ
 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจออก ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวอานาปานสติแก่ภิกษุผู้เผลอสติ ไม่รู้สึกตัวอยู่ เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ
 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้าสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลสหายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจเข้า ดูกรภิกษทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสด้วยปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้วางเฉยได้ดี เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ
 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ฯ



วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

(211) นิราศหนองคาย ๒๕๕๖ "สภาวธรรมตามนิมิต"

๑๖-๑๗ พฤศจิกาพาไปถึง
ที่แห่งหนึ่งซึ่งผูกพันมาก่อนหนา
ไปตามสัจจะที่เอ่ยสัญญา
ว่าผู้ข้ามาสร้างบุญบารมี
เมื่อคืนก่อนเธอผู้อยู่ในโลกทิพย์
มากระซิบเป็นนัยจิตวิถี
ว่าข้าบาทคือนางนาคี
สถิตอยู่ที่บ่อน้ำโบราณ


พอรุ่งเช้ามีบุรุษโทรมาหา
ว่าหลวงตา(เณร)ผู้เคร่งกัมมัฏฐาน
ขอแรงบุญบารมีของอาจารย์
มาอธิษฐานช่วยกันอีกครา
ปีก่อนพากันไปภูเขาควาย
บากบั่นกันไปตามปรารถนา
สร้างพระพุทธรูปไว้บูชา
ณ แผ่นพสุธาประเทศลาว


ปีนี้ หลวงตาสร้างพระองค์ใหญ่
ประดิษฐานไว้ข้างพระองค์ขาว
นับเป็นองค์ที่สิบต่อจากลาว
บนปฐพีชาวเมืองหนองคาย
จึ่งนำพระบรมสารีริกธาตุ
แลวัตถุธาตุไปบรรจุไว้
เพื่อสืบพุทธศาสนาต่อไป
ประกาศไว้แผ่นดินนี้มีธรรม


ราตรีก่อนวันลอยกระทงปีนี้
มีพิธีสมโภชตั้งแต่หัวค่ำ
กวนข้าวทิพย์ด้วยสาวพรหมจรรย์
จุดตะไลคั่นกันตามประเพณี
มุมหนึ่งมีเทพแฝงร่างสังขาร
แผ่ญาณผ่านร่างสตรีผิวสี
ใครจะให้ช่วยรีบมาอย่ารอรี
ปู่ตาเจ้านี้มาจากฝั่งลาว


โอ้หนอ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์
ชั่งแสนทุกข์สุดแท้จริงหนอท้าว
มีความสุขบ้างก็แสนชั่วคราว
เธอท้าวก้าวไปในวงพิธี
หนุ่มนี้สาวนั่นคลานเข้าไปหา
ขอปู่ตาปลดทุกข์ที่เป็นอยู่นี้
ปู่ตาบอกสารพัดวิธี
คราวนี้คงหายแน่กันทุกคน


อีกมุมหนึ่ง บุรุษผู้ยังโง่เขลา
พิจารณาเข้าในความสับสน
เห็นความสุขทุกข์ทั้งเทพทั้งคน
ปะปนอลหม่านทั้งเขาทั้งเรา
มนุษย์สุขทุกข์ก็แบบมนุษย์
เทวดาสุขทุกข์ก็แบบเขา
สัตว์โลกล้วนมีทุกข์ไม่สร่างเซา
มีสุขใดเล่าที่เจ้าว่ามี


เราผู้โง่เขลาภาวนาเพียรพร่ำ
ยังบอกย้ำตัวเองว่าทุกข์อีหลี
แล้วผู้ยังหลงเพลินอยู่ในวารี
ยังสุขดีกันอยู่หรืออย่างไร
จงกรมภาวนาไปตามถนน
เห็นผู้คนมีทุกข์มากแค่ไหน
ใจเรายิ่งทุกข์มากกว่าใครใคร
น้ำตาจึงไหลออกมาคลอคลอ


กลับมานั่งภาวนาต่อ
เราขออุทิศให้ท่านตามคำขอ
ชาวโลกทิพย์โลกวิญญาณที่มารอ
อีกทั้งขอให้ทุกคนที่มา
บุญใดใดที่เราสร้างสมมาดี
ขอให้สุขีทั้งกายใจหนา
ทุกข์โศกเศร้าที่เคยมีมา
ขอธรรมรักษาทุกท่านเทอญ


ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖









วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

(203) สภาวะของพระโสดาบัน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล

ท่านทั้งหลาย ผู้ใดเห็นกายในของนักภาวนาท่านใดเป็น "พระ" หรือเห็นดวงจิตของท่านนั้นใสแล้ว จะด้วยญาณในหรือตาทิพย์ก็ดี ก็อย่าได้สงสัยในความเป็น "พระอริยะ" หรือ "อริยบุคคล" ของท่านนั้นเป็นอันขาด เพื่อจะได้ไม่ก้าวล่วงจนเกิดกรรมโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังจะเห็นได้จากคำสอนของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ดังนี้


 

ใจเทวดา - ใจพรหม - ใจพระ

ถ้าหากว่า ช่วงใด ใจของเรามี "หิริ" ความละอายบาป
"โอตตัปปะ" กลัวสะดุ้งต่อบาป ไม่กล้าที่จะทำบาป
ทั้งในที่ลับ ที่แจ้ง ในขณะนั้น ใจของเราเป็น "เทวดา"
แต่ กายของเราเป็นมนุษย์...


หากว่า ในขณะใด ที่เรามาบำเพ็ญสมาธิภาวนา
ทำให้จิตมีสมาธิ สงบนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน
บรรลุฌานตามลำดับ หรือ มีสมาธิแน่วแน่
รู้ธรรมเห็นธรรม ในช่วงนั้น กายของเราเป็นมนุษย์
แต่ จิตใจของเรา ก็เป็น "พระพรหม"
พระพรหม คือ ผู้มีใจสว่างไสว เบิกบานแช่มชื่น

ถ้าในอันดับนั้น ใจของเรานี้ ละกิเลสบาปกรรม
ละสังโยชน์ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา ลีลัพพตปรามาส
ได้เด็ดขาด มีความรักตั้งมั่นในคุณพระรัตนตรัย
ไม่คลอนแคลน "สามารถสละชีวิต" เพื่อ บูชาข้อวัตรปฏิบัติ
ตามหลักคำสอน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ไม่ย่อท้อ … ในช่วงนั้น กายของเราเป็นมนุษย์
แต่ ใจของเรา มันกลายเป็น "พระ"
เป็นพระอริยเจ้า ขั้นพระโสดาบัน
(พระธรรมคำสอน...หลวงปู่แหวน สุจิณโณ)
 
นอกจากนั้น ยังมีคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง ท่านได้กล่าวถึง สภาวะของพระโสดาบันดังนี้
 
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระโสดาบัน

เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบัน คือ มีความมั่นคง มีความแน่วแน่ว่า เวลานี้เราเป็นพระโสดาบัน ถ้าญาติโยมจะย้อนถามว่าจะรู้ได้อย่างไร ก็ขอตอบว่ารู้แน่ การเจริญธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเ
จ้า มีญาณเป็นเครื่องรู้ ญาณจะบอกคือ

๑. จิตจะมีความมั่นคง
๒. อารมณ์จะมีความสุข
๓. จะเห็นว่าความตายเป็นของธรรมดา เราต้องตายแน่
๔. จิตจะไม่ห่วงชีวิต ไม่กลัวความตาย
๕. ในเมื่ออารมณ์จิตเข้าถึงขนาดนี้ ก็มีปัญญาสูง ญาณย่อมเกิด คำว่าญาณก็คืออารมณ์ เป็นอารมณ์ที่เกิดจากปัญญา มันจะบอกเองว่า เวลานี้เราถึงพระโสดาบันแล้ว
 
(โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
 
 
 
 
 
ท่านทั้งหลาย ผู้ที่เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลแล้ว ย่อมรู้แก่ใจ แม้จะมีผู้ใดบอกหรือไม่บอกก็ไม่ได้สงสัยในภูมิธรรมขั้นนั้นๆ บางท่านจะมีสัญญาณบางอย่างบอกล่วงหน้า บางท่านก็ถึงกับโลกธาตุสั่นไหวบังเกิดขึ้นที่ใจ บางท่านก็เกิดแสงสว่างไสวพร้อมกับญาณรู้เห็นตามบุญบารมี และสภาวะที่เข้าถึงธรรมนั้นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยววินาที ถึงแล้วก็แค่นั้น ไม่ได้ติดอกติดใจหรือยินดียินร้ายในสภาวะนั้น วางเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหลือไว้แต่สัญญาความจำเพื่อนำมาบอกเล่าสู่กันฟังเท่านั้น เพราะการละสังโยชน์ได้บังเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติแล้ว ปฏิบัติไปเถิด เมื่อถึงแล้วจะรู้เอง เพราะผู้ที่นำมาอธิบายเป็นแต่เพียงลมปาก ส่วนของจริงมันอยู่ที่ใจ จึงมิสามารถยกออกมาอธิบายได้ทั้งหมด
 
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
3 ตุลาคม 2556

 

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

(201) การพิจารณาธาตุสี่ (กายานุสติ)



 
 
 
กายานุสตินี้มีคุณให้นักภาวนาได้พิจารณาสัจธรรมของโลกสมมุติ เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเป็นธรรมดา ร่างกายสังขารนี้เกิดมาแต่ธาตุทั้งสี่ที่มารวมกันในครรภ์มารดา แล้ววิญญาณเข้ามาถือครองเอาว่าเป็นเขาเป็นเรา เมื่อกายแตกดับไป ธาตุทั้งสี่ก็แยกสลายไปเหลือแต่ธาตุดิน ดินนั้นไม่เหลือความเป็นตัวตนของผู้ใด มองดูเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าเม็ดดินที่เรากำอยู่นั้นเป็นชิ้นส่วนของผู้ใดบ้าง เมื่อถึงกาลเวลาหนึ่งดินและโลกใบนี้ก็แตกสลายไป จักรวาลที่เป็นที่อยู่ของโลกใบนี้ก็ดับสลายไป แล้วเกิดขึ้นมาใหม่เป็นวัฏฏะ ท่านจึงว่าเป็นอนัตตา คือความไม่มีตัวตนเหลืออยู่ พิจารณาไปเถิด ตามสัญญาจำได้แบบนี้ไปก่อน เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายในมูตรในคูถนี้ เพื่อกิเลสจะได้เบาบางลง เมื่อท่านใดมีภูมิธรรมถึงขั้นอนาคามีขึ้นไปแล้วนั้นล่ะ วิปัสสนาญาณการท่องกายานี้ จึงจะแจ่มแจ้งเป็นอัตโนมัติ และเป็นวิปัสสนาญาณของจริง เมื่อนั้นความเบื่อหน่ายจะถึงขั้นสูงสุดถึงกับถอดถอนกิเลสได้อย่างสิ้นเชิงในขั้นอรหันตผล

ร่างกายสังขารนี้ นอกจากจะเป็นก้อนธาตุทั้งสี่แล้ว กายนี้ก็ยังเป็นเครื่องมือของใจ ใจคิดดีก็พาร่างกายไปสร้างบุญกุศล ใจคิดไม่ดีก็พาร่างกายไปสร้างกรรมชั่วเป็นบาปอกุศล ทั้งที่กายนี้เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เมื่อตายไปกายนี้ก็ย่อยสลายไปไม่เจ็บไม่ร้อนไปกับผู้ใด มีแต่ใจเท่านั้นล่ะ ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดท่องไปในภพน้อยแลภพใหญ่ เสวยทั้งบาปและบุญที่พาร่างกายไปสร้างสมมา จงพิจารณากันเอาเองเถิด เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นแต่ที่ใจ และดับลงได้ก็แต่ที่ใจเท่านั้น จงรักษาและเฝ้าระวังที่ "ใจ" อย่าให้ได้ประมาทหลงไปในทางชั่ว เท่านี้ก็นับว่าเป็นบุญที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
 
ขอเจริญในธรรมดร.นนต์
30 กันยายน 2556
(ภาพจาก Apisitgo Onkham)

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

(188) อสุภะ ๑๐ "อัฏฐิกะ" กรรมฐานของญาติธรรม

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
 
 
 
ภาพเขียนโดย ดร.ทวี รัชนีกร ศิลปินแห่งชาติ สาขาจิตรกรรมปี 2548
 

 
 
 
"อสุภะ ๑๐ อัฏฐิกะ" กรรมฐานของญาติธรรม
.........................................................
ท่านทั้งหลาย ผมขอยกเอาคำสนทนาระหว่างผมกับญาติธรรมท่านหนึ่งเรื่อง การภาวนา มาเผยแพร่เผื่อเป็นประโยชน์ต่อนักภาวนาบ้าง อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ผมก็ได้แสดงออกตามภูมิที่ผมมีอยู่ดังนี้ครับ

 
ดหมายจากคุณธนบดี
.............................
กราบสวัสดีครับท่านอาจรารย์ ผมติดตาม บล็อคของท่านอาจารย์มาหลายปี แต่ยังไม่ได้ทักทายท่านอาจารย์ ผมปฏิบัติมาประมาณ 6 ปี ควบคู่กับการศึกษาพระไตรปิฎก และพระธรรมคำสอนของอาจารย์ท่านต่างๆ ตอนปีแรกๆ ก็ตัวหนัก ตัวบิด ตัวเอียง เกิดแสง ปกติผมนั่งสมาธิ เช้า 1 ชั่วโมง เย็น 1 ชั่วโมง พอมาปี 2555 พระที่ไปกราบท่านที่สุรินทร์ (วัดที่ ต.นาดี อ.เมือง ) แนะนำไม่ให้อ่านพระไตรปิฏก ผมเลยหยุดอ่านและหันมาภาวนาอย่างเดียว
 
ประมาณปลายปี 2555 ขณะที่พิจารณาเกิดตัวหนัก ผมเลยลองพิจารณากายตามกรรมฐาน 5 อาการตัวหนัก ตัวบิดหายไป ลมหายใจหายไป เหลือสงบนิ่ง มองเห็นตัวเองเป็นโครงกระดูกประมาณ 2 วัน หลังจากนั้นดูเหมือนจะหายไปหมด นั่งก็ไม่ค่อยสงบ นั่งภาวนาประมาณ 10 นาทีก็จะหลับ หรือนอนภาวนาไม่ถึง 5 นาที ก็หลับ ผมหันมายืนภาวนาบ้าง บางทียืนก็หลับครับท่านอาจารย์

ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ครับ
1.ผมอยากได้หนทางที่ถูกต้องครับ หากเดินถูกทางซักวันน่าจะถึงที่หมายได้ แม้จะหลายภพหลายชาติ หากไปไม่ถูกทาง โอกาสถึงที่หมายคงจะไม่มี
2.ผมขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ในทางธรรมของท่านอาจารย์ และขอมีส่วนร่วมกับท่านอาจารย์ในการบำเพ็ญบุญเพื่อสั่งสมบารมีครับ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพครับ
ธนบดี

 
จดหมายตอบจาก ดร.นนต์
...................................
สวัสดีครับคุณธนบดี
ก่อนอื่นผมต้องขออนุโมทนาในจิตอันเป็นกุศลของคุณ ที่พยายามหาทางพ้นทุกข์ ซึ่งนับว่าหายากในยุคปัจจุบัน คงเป็นด้วยบุญเก่า เมื่อถึงเวลาบุญก็มาสะกิดเตือนให้เราเร่งสร้างสมบุญบารมีต่อไป และไม่มีเหตุบังเอิญสำหรับสายบุญที่จักได้พบเจอหรือวนมาสร้างสมบุญบารมีด้วยกันอีกครั้ง ผมเองก็พยายามค้นหาด้วยจริตและบุญเดิม จึงได้มาพบครูบาอาจารย์ที่แท้จริงได้ เมื่อท่านพ้นทุกข์ได้เราก็มีสิทธิ์ที่จะพ้นทุกข์ได้เช่นกัน เพราะเราเดินตามรอยผู้พ้นแล้ว ความหลงจึงไม่มี จะยังเหลือแต่ความเพียรที่จะตามท่านไปก็เท่านั้น

ดูจากการภาวนาของคุณก็นับว่ามีความก้าวหน้าในทางจิตภาวนามากพอควร หากได้ครูอาจารย์ที่ดีคุณคงไปได้เร็วกว่านี้ อาการต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างการภาวนานั้นมีหลากหลายแตกต่างกันไป หนักบ้าง เบาบ้าง เอนเอียง แน่นหน้าอก ปวดศรีษะ อึดอัด โล่งสบาย และสารพัน นั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา อาจมีทั้งปรุงแต่งขึ้นมาบ้าง เป็นไปเองบ้าง สงบบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง ปีติบ้าง พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของนักภาวนามือใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอาการอะไรเกิดขึ้นก็ขอให้พิจารณาว่า ทุกสิ่งมันไม่เที่ยง สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง กลางๆก็ไม่เที่ยง ไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่าง หากจิตพิจารณาตามนี้ก็จะคลายวิตกวิจารณ์ไปได้ จะภาวนาอยู่ในอริยาบทใด เวลาใด กิจกรรมใดอยู่ก็ชั่ง ครูอาจารย์ท่านให้ฝึกสติ คือ ให้รู้ว่าเรากำลังทำอะไร จะเกิดอะไรขึ้นก็ให้รู้ตามความเป็นจริงคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นธรรมดา เมื่อฝึกบ่อยเข้าเราก็จะรู้ทันมัน แล้วจะไม่ไปยึดเอามันมาเป็นอารมณ์ แล้วจะปล่อยวางมันไปในที่สุด

เท่าที่ดูจริตของคุณที่ใช้การพิจารณากรรมฐานห้า จนจิตสงบถึงขั้นเห็นร่างกายเป็นโครงกระดูกนั้น นับว่าจิตของคุณได้เข้าไปสู่ฐานของสมาธิที่แท้จริงแล้ว เพียงแต่ความสม่ำเสมอไม่ต่อเนื่อง หรืออินทรีย์ยังไม่แก่กล้า จึงไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสภาวะนั้นได้นาน และไม่สามารถเข้าไปได้อีกเลย คุณคงต้องเริ่มฝึกอินทรีย์ให้แกร่งทั้งกายและใจ อาจเดินจงกรมจนสว่างจนร่างกายเดินโซเซ ล้มก็ชั่งหัวมัน หรือจะยืนจะนั่งสลับกันตลอดทั้งคืนก็ได้ เพื่อกำจัดนิวรณ์และเป็นการฝึกอินทรีย์ที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่ หรืออาจอดอาหารเย็นเพื่อไม่ให้ร่างกายง่วง ลองค่อยๆทำดูนะครับ ขณะเดินจงกรมหรือการยืนการนั่งก็ให้หันมาใช้ปัญญาในการพิจารณา มีอะไรมาปะทะกายหรืออายตนะทั้งหมดก็รู้ รู้แล้วก็วาง พิจารณาเห็นการเกิดการดับของอายตนะทั้งหลาย หากมันคิดออกนอกเรื่องก็ให้รู้ทันมัน ไม่ต้องเกร็งไม่ต้องกังวล ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ผมทำได้ผลมาแล้วครับ (ให้ทิ้งตำราทิ้งความจำทั้งหลายไว้ก่อน ให้หันมาปฏิบัติภาวนาอย่างเดียว แล้วจิตเขาจะดำเนินวิถีของเขาไปเอง)

1. หากเดินตามพระอรหันต์ผู้พ้นกิเลสแล้ว หรือตามอริยบุคคล ย่อมไม่มีหลงทาง จะยังเหลือแต่ความเพียรและจิตอันเด็ดเดี่ยวที่จะไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม แต่พระอรหันต์ทั้งโลกที่ดำรงธาตุขันธ์อยู่ในปัจจุบันก็มีแค่สิบองค์ ใครจะค้นพบก็นับเป็นบุญวาสนาครับ

2. ผมขออนุโมทนาที่คุณยกย่องผม แม้ผมจะเป็นเพียงผู้ค้นหาธรรมและยังไม่ถึงที่สุดแห่งธรรมก็ตาม เราก็ต่างนับถือกันที่คุณธรรมมิใช่ที่ฐานะทางโลก และผมก็มีความยินดีในบัณฑิตผู้แสวงหาธรรมทุกท่าน เราจะพากันไปพบพระพุทธเจ้าด้วยกันครับ

ปล. ผมตอบตามภูมิที่ผมมีอยู่ในขณะนี้ อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด หากยังไม่ก้าวหน้าคงต้องไปพบกับหลวงพ่อครับ
 
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
18 กรกฎาคม 2556
 
จดหมายจากคุณธนบดี
..............................
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งครับในความเมตตาที่มอบให้ กระผมจะดำเนินตามแนวทางตามที่อาจารย์เมตตาสั่งสอนตลอดไปครับ

ธนบดี
24 กรกฎาคม 2556

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

(183) เส้นทางบุญจากโคราช หนองคาย สู่เขตภูเขาควายประเทศลาว 2555



❇️  บันทึกนักภาวนา ภาคพิเศษ 1
❇️  เส้นทางบุญจากโคราช-หนองคาย 
     สู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว 
     10-11 มีนาคม 2555

        🍂 ปฐมบทแห่งบันทึกเรื่องราวต่อไปนี้ เกิดจากประสบการณ์จริง แต่ความจริงแท้ทั้งหมด ยังเกินวิสัยของผู้เขียน ดังนั้น โปรดใช้วิจารณญาณ หรือจะอ่านเป็นนิทานธรรม เพื่อความเพลิดเพลินก็พอ (มีความยาวหลายตอน)

🌼 ตอนที่ 1 อัศจรรย์หนองคาย

        🔸 1. จุดประสงค์ของการเดินทาง

        เช้าวันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2555 ผมพร้อมกับ ผอ.ชยุต (หนุ่ม) ซึ่งเป็น ผอ.ป่าไม้ที่ชัยภูมิ และคุณณี (ภรรยาคุณหนุ่ม) ได้ออกเดินทางด้วยรถยนต์ จากโคราช เวลา 8.30 น. การเดินทางในครั้งนี้ มีเป้าหมายไปแค่หนองคาย ตามคำเชิญของหลวงตาเณรเท่านั้น พวกเราไม่เคยรู้จักหลวงตาเณรมาก่อน แต่ท่านก็ได้เชิญให้พวกเราไปที่สำนักสงฆ์ของท่าน โดยประสานงานผ่านทางสิบเอกอารี เพื่อการบางอย่าง ซึ่งผมเองก็ยังงงๆ อยู่ว่า เอ..เราไปด้วยเหตุอันใดหนอ แต่จิตของผมก็รู้สึกเบิกบานดี


       🔸 2. พบญาติธรรม ณ หนองคาย

       🔹พบกับกินรี🔹

        ในระหว่างทาง ได้แวะเยี่ยมผู้กองศุภชัย ตำรวจทางหลวงอุดรธานี พอสมควรแก่เวลาแล้ว พวกเราได้ออกเดินทางสู่จังหวัดหนองคายทันที วันนี้ตั้งแต่เช้าอากาศเย็นสบาย เพราะไม่ค่อยมีแดด พอเริ่มเข้าสู่เขตหนองคายปรากฏว่า มีฝน (หน้าแล้ง) ตกตลอดเส้นทาง  อย่างไรก็ตาม การไปหนองคายครั้งนี้ ผมกับคุณหนุ่มยังไม่รู้เลยว่า สำนักสงฆ์ที่เราจะไปนั้น ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน หลวงปู่ท่านชื่ออะไร ก็คงต้องใช้วิธีไปหาทางเอาข้างหน้า ผมทราบจากคุณหนุ่มว่า คุณอารี (สิบเอกอารี) ลูกศิษย์หลวงปู่โทรมาบอกว่า หลวงปู่จะส่งกินรีมาต้อนรับด็อกเตอร์ พวกเราก็ยังงงๆว่า กินรีมีตัวเป็นแบบใด เมื่อใกล้ถึงหนองคาย พวกเราก็ได้รับสายจากสตรีท่านหนึ่ง โทรมาบอกเส้นทางไปวัด และจะออกมารับที่ปากทาง  เมื่อพบกันแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่า เธอคือกินรี รู้แต่ว่าเธอชื่อคุณนก ที่ขับรถเบนซ์ออกมารับพวกเรา (มาทราบทีหลังก่อนจากกันว่า เธอคือกินรีนั่นเอง) เมื่อได้สนทนากันแล้ว เธอเกิดอาการปีติตลอดเวลา เสมือนเป็นญาติมิตรกันมาก่อน

       🔹พบหลวงตา (เณร)🔹

         เมื่อสนทนากันพอควรแล้ว จึงมุ่งหน้าเดินทางเข้าสู่สำนักสงฆ์ ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองหนองคายประมาณ 10 กิโลเมตร ผมสังเกตเส้นทาง เมื่อเราเลี้ยวออกจากถนนหลักเข้าสู่สำนักสงฆ์ เป็นถนนลูกรังวิ่งผ่านหมู่บ้านสองสามหมู่บ้าน ทางคดเคี้ยวไปมา และเริ่มมีสภาพเป็นป่าดูวังเวงมากขึ้น ไม่นานก็ไปถึงสำนักสงฆ์ราวบ่ายสองโมง พร้อมกับมีฝนตกลงมาหนักพอสมควร หลวงตาได้ออกมาจากกลดภาวนาที่อยู่ในศาลา พวกเราจึงเข้าไปกราบนมัสการท่าน คำแรกๆ ที่ผมได้ยินก็คือ... 
        
         "ด็อกเตอร์เอ้ย มาซอยกันส่างบารมีเด้อ ขอบารมีด็อกเตอร์มาซอยกันเด้อ"... "มื้อคืนปู่เพินก็มาบอกว่า ผู้มีบุญจากโคราชซิมาหาเด้อ" (ด็อกเตอร์มาช่วยกันสร้างบารมี ขอบารมีของด็อกเตอร์มาช่วยกันนะ... เมื่อคืนปู่ท่านก็มาบอกว่า ผู้มีบุญจากโคราชจะมาหาเด้อ)... 

          ผมนิ่งไปสักพัก เพราะยังงงๆ ท่านจึงเอ่ยขึ้นมาว่า... "บ่แม้นเรื่องเงินเรื่องปัจจัยดอก ขอแค่ด็อกเตอร์ส่งจิตส่งบารมีมาก็พอแล้ว"... ผมยังสงสัยตัวเองอยู่ว่า แล้วผมจะมีบารมีอันใดหนอ ที่จะมาช่วยท่านได้  แต่ผมก็รับปากท่านไปเสียแล้ว

         หลังจากสนทนากันกับท่าน ประมาณหนึ่งชั่วโมง ฝนเริ่มซาลง พวกเราจึงขอตัวเพื่อจะเข้าไปกราบหลวงพ่อพระใส ที่วัดโพธิ์ชัย และจะเลยไปเที่ยวตลาดอินโดจีน แล้วจึงจะย้อนกลับมาพักที่วัด เพื่อสนทนาธรรมกับท่านอีกครั้ง
 

          🔸 3. ภาวนาและอธิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย

          พวกเราเดินทางไปถึงวัดโพธิ์ชัย ซึ่งเป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของหนองคายคือ หลวงพ่อพระใส ในราวบ่ายสามโมง ผมได้เข้าไปกราบหลวงพ่อพระใสบนพระวิหาร พร้อมกับนั่งภาวนาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง การภาวนาเบื้องหน้าหลวงพ่อพระใส แม้จะมีผู้คนมากมาย แต่แปลกผมกลับมีความสงบสมาธิดิ่งเร็วดี จิตก็สว่างไสว แลใสเจิดจ้าดุจประกายเพ็ชร  อยู่พักหนึ่ง จึงถอนขึ้นมา

          หลังจากออกจากสมาธิแล้ว ผมได้เข้าไปอธิษฐานเสี่ยงทายพระพุทธรูปที่วางอยู่ด้านข้าง โดยกำหนดจิตอธิษฐานว่า ... "หากข้าพระพุทธเจ้าจัก(...) ในภพในชาตินี้ ขอจงให้พระพุทธรูปมีน้ำหนักมากด้วยเถิด..." เมื่อผมยกพระพุทธรูปขึ้น ปรากฏว่ามีน้ำหนักมาก สามารถยกขึ้นได้เพียงเล็กน้อย เมื่อจะยกครั้งที่สองในคำอธิษฐานเดิม... "หากข้าพระพุทธเจ้าจัก(...) ในภพในชาตินี้ ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ายกพระพุทธรูปขึ้นเบาดั่งปุยนุ่นด้วยเถิด..."  ผมตั้งสติให้จิตตั้งมั่นแล้วยกขึ้นจังหวะเดียว ปรากฏว่า พระพุทธรูปลอยละลิ่วเบาหวิวขึ้นเลยเหนือศรีษะ ขึ้นไปจนสุดแขนอย่างน่าอัศจรรย์ ท่ามกลางสายตาของคุณหนุ่มและคุณณี หลังจากนั้น ผมก็ลองให้คุณหนุ่มและคุณณีอธิษฐานจิตดู ปรากฏว่า พระพุทธรูปมีน้ำหนักมากจนยกไม่ขึ้น และมีน้ำหนักเบาหวิวต่างกันอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นอันว่า คำอธิษฐานเสี่ยงทายของพวกเราในครั้งนี้ สมหวังกันทุกคน (ปล.พระพุทธเจ้ามิได้สอนให้พวกเราลุ่มหลงกับสิ่งเหล่านี้)


กราบหลวงพ่อพระใส


          🔸 4. สนทนาธรรมกับหลวงตาเณร

          พวกเราเดินทางกลับสำนักสงฆ์ ในราวทุ่มกว่าๆ ปรากฏว่า หลงทางเข้าป่าลึก ยิ่งไปยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ ดูวิเวกเปลี่ยวเปล่าน่าดู ฝนก็ตกพรำๆ บรรยากาศก็ชวนขนลุก คุณหนุ่มโทรให้คนออกมารับ จึงสามารถกลับเข้าสู่สำนักสงฆ์ได้ ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม หลวงตาเณรและญาติธรรมนับสิบ กำลังรอพวกเรา เพื่อสวดมนต์ทำวัตรเย็น หลังจากทำวัตรเสร็จแล้ว ท่านให้หญิงสาวคนหนึ่ง ที่ท่านเคยช่วยเหลือเธอไว้ จากการถูกเล่นงานด้วยคุณไสย ประทับทรงปู่ตา ซึ่งเป็นเทพทางลาวแถบภูเขาควาย เพื่อสอบถามบางอย่าง ผมนั่งดูอยู่ห่างๆ  ได้เรียนรู้และพิจารณาธรรม ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้า เห็นความทุกข์ของผู้คนที่เข้ามาหาหลวงตา เพื่อให้ท่านช่วย มีสารพัดความทุกข์ มีการเสี่ยงทาย โดยการยกขาปู่เจ้าผ่านขาของร่างทรง คล้ายกันกับการยกพระพุทธรูป คุณหนุ่มกับคุณณีได้ทดลองเสี่ยงทาย ปรากฏว่า หากสำเร็จให้ยกขาไม่ขึ้น  ก็ปรากฏหนักอึ้งไม่สามารถขยับเขยื้อน ทั้งที่ร่างทรงก็นั่งสบายๆ และหากสำเร็จให้สามารถยกขาขึ้นแบบสบาย ก็ปรากฏว่าเบาหวิวขึ้นมาเฉย เอ้อหนอ...แบบนี้ก็มีด้วย ก็เคยเห็นแต่การเสี่ยงทายพระพุทธรูป (เป็นความเชื่อนอกวิถีของพระพุทธศาสนา โปรดพิจารณา)

          เมื่อญาติธรรมลากลับเกือบหมดแล้ว ผมจึงได้สนทนาธรรมกับหลวงตาเณร ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยเป็นทหาร แล้วลาออกมาบวชเป็นพระในฝ่ายธรรมยุต เมื่อหลายปีมาแล้ว  และออกธุดงค์ไปตามป่าดงแถบภาคอีสาน เคยไปสร้างวัดแห่งหนึ่งที่อุบลฯ จากไม่มีอะไรเลย แต่สำเร็จได้ภายในไม่นาน และเมื่อมีความเจริญแล้ว ท่านจึงได้หนีออกจากวัดนั้น และออกธุดงค์เรื่อยมา จนมาพบบริเวณสำนักสงฆ์แห่งนี้ ขณะที่ท่านบำเพ็ญโดยถือสัจจะเป็นเวลาหนึ่งเดือนนั้น ปรากฏนิมิตมากมาย ทั้งการพบกับหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรในร่างบุรุษชุดขาว มีพญานาคเป็นพาหนะ หลวงปู่ศรีเอกวงศ์ (ท่านบอกว่าเกี่ยวพันกันกับหลวงปู่โต เป็นภพหนึ่ง) ซึ่งเคยบำเพ็ญอยู่ในภูมิแห่งนี้ หลวงปู่มั่นและหลวงปู่ต่างๆ ก็เคยมาหา พญานาคที่มาในญาณของปู่ขาวและปู่ดำ และที่สำคัญบริเวณที่อยู่ใกล้ๆสำนักสงฆ์แห่งนี้ เป็นภูมิของพระอรหันต์สมัยพุทธกาล เป็นภูมิของคนสูงแปดศอก ท่านนิมิตเห็นบาตรพระขนาดใหญ่จำนวน 20 อัน อยู่ใต้พื้นดินแห่งนี้ และอีกหลายๆเรื่อง รวมทั้งเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำ และวิญญาณทั้งหลาย ก็เป็นหนึ่งในหัวข้อที่สนทนากันในค่ำคืนนี้

         ในตอนหนึ่ง หลวงตาเล่าถึงว่า ทำไมท่านถึงต้องสึกจากความเป็นพระ ลงมาเหลือแค่การบวชเป็นเณร ทั้งที่ตัวท่านเองก็บำเพ็ญเพียรมาตามแบบอย่างพระกรรมฐาน แต่เมื่อได้มาพบกับหลวงปู่ใหญ่แล้ว ภาระหน้าที่บางอย่างจึงเปลี่ยนไป หน้าที่ปราบมารบังเกิดขึ้น การช่วยเหลือสงเคราะห์คนทุกข์สาหัส จากไสยศาสตร์มนต์ดำก็บังเกิดขึ้น การสร้างพระพุทธรูป การสร้างวัดก็บังเกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน โอ้หนอ...การสร้างบารมี ทำไมมันถึงยากเพียงนี้น้อ... เส้นทางพระอรหันต์ก็เห็นห่างกันเพียงเส้นผม แต่ก็ต้องมาบำเพ็ญอีกเส้นทางหนึ่ง ไฉนเส้นทางหรือจริตในการบำเพ็ญจึงแตกต่างกัน... ท่านทั้งหลาย ผมเข้าใจแล้วว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ผมจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปพิจารณาผู้อื่น ผู้อื่นก็คือผู้อื่น การบำเพ็ญของคนอื่น ก็เป็นของคนอื่น หน้าที่ของใครก็ของมัน อย่าได้เอามาปะปนกับของเรา ตัวเรายังมิใช่ของเรา ผมจึงได้แต่อนุโมทนาในบุญกุศลที่ท่านสร้างมา

          หลวงตาเณรบอกว่า... "ภูมิที่นี่ดี ด็อกเตอร์มาภาวนาเอาเด้อ มาสร้างบารมีช่วยกันเด้อ"... เมื่อได้เวลาพักผ่อน พวกเราจึงได้อาศัยศาลาเป็นที่นั่งภาวนาและนอน ซึ่งกลดของหลวงตาก็อยู่ในศาลาแห่งนี้ เมื่อหลวงตาได้เข้ากลดภาวนาแล้ว ผมกับคุณหนุ่มก็อาศัยที่นอนนั้น เป็นที่นั่งภาวนาท่ามกลางเสียงฝนตกพรำๆ

         ในช่วงเช้าต่อมา หลวงตาเณรบอกคุณอารีว่า เมื่อคืนได้ยินผู้ไม่มีตัวตนเข้ามาหาผม แต่ผมไม่รู้หรอก รู้แต่เพียงว่า บางช่วงก็รู้สึกดี และบางช่วงขณะนั่งภาวนา ก็มีวัตถุหล่นใส่หลังคาตรงศรีษะผมหลายครั้ง ไม่ได้ตกใจอะไร ก็ได้แต่พิจารณาเป็นธรรมะเท่านั้น


          🔸 5. ไสยศาสตร์มนต์ดำ

          ในการสนทนากับหลวงตาเณร และลูกศิษย์ของท่าน ในค่ำคืนวันที่ 10 มีนาคม 2555 นั้น มีช่วงหนึ่ง ที่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำ ที่หลวงตาเณรและลูกศิษย์ได้เผชิญมา หลวงตาและลูกศิษย์ช่วยกันเล่าให้ฟังว่า เมื่อคราวที่ท่านและลูกศิษย์ไปบำเพ็ญภาวนาที่ภูลังกา ได้เผชิญกับพวกเล่นของหรือหมอธรรมฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ พวกมารได้ปล่อยของออกมาเล่นงานท่านหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านทราบว่า พวกมารจะรวมหัวกันส่งของมาเล่นงานชุดหนัก ท่านและลูกศิษย์ จึงได้ไปปักหลักที่ภูลังกา ตั้งปะรำขอบเขต โดยปักด้ายสายสิณจน์ล้อมรอบ ให้เณรน้อยสององค์นั่งข้าง ให้สิบเอกอารีและลูกศิษย์อีกคนยืนถือหอกอยู่ใกล้ๆ ส่วนลูกศิษย์มีทั้งหญิงและชายที่เหลือ ให้อยู่ในวงสายสิญจน์ เมื่อถึงเวลา ปรากฏมีลมพัดกระหน่ำเหมือนในหนัง เต๊นท์ปลิวกระจายไปไกลเกือบกิโลเมตร คณะของหลวงตาเณรยังตั้งมั่นอยู่ในวงสายสิญจน์ สักครู่ปรากฏมีตะปูและวัตถุพุ่งใส่สิบเอกอารี และลูกศิษย์ที่ยืนถือหอกอยู่ จึงต้องหลบกันพัลวัน เณรน้อยที่อยู่ด้านข้างโดนไปหลายดอก หลวงตากดหัวเณรน้อยให้หมอบลง มีวัตถุวิ่งแหวกอากาศมากระทบกับต้นไม้ กับเสา กับคน กับหลวงตา กับเณร กับลูกศิษย์ หลายชุด มีทั้งตะปูขนาดใหญ่ กระดูก เส้นผม ก้อนอิฐ ก้อนหิน ฯลฯ ต่างบาดเจ็บไปตามๆกัน 

         เมื่อเล่าถึงตอนนี้ ลูกศิษย์ของท่านต่างพูดกับผมว่า ทำไมพวกเขาไม่เจอลูกแก้ว พระธาตุ และพระพุทธรูปเสด็จมาเหมือนด็อกเตอร์หนอ มีแต่อะไรก็ไม่รู้ พูดไปก็หัวเราะกันไป หลวงตาเล่าต่อไปว่า บางครั้ง ท่านได้ยินเสียงสวดเป็นภาษาเขมร และเห็นอักษรธรรมวิ่งเข้ามาเป็นระยะๆ ท่านจึงโต้ตอบกลับไปด้วยบทสวดธรรมจักรฯ สู้กันไป บางครั้งท่านเหนื่อยจนแทบหายใจไม่ทัน เพราะฝ่ายตรงข้ามมีกันหลายคน ท่านจึงขอให้โยมช่วยกันสวดต่อ ท่านขอหยุดพักหายใจก่อน แต่สุดท้าย ด้วยอำนาจธรรมของท่าน จึงทำให้พวกมารพ่ายแพ้กลับไป

        ทุกวันนี้ ท่านจึงกลายเป็นผู้ทำหน้าที่ปราบมาร ควบคู่ไปกับการสร้างพระ สร้างวัด และคอยช่วยเหลือผู้คนที่โดนเล่นงานด้วยไสยศาสตร์มนต์ดำ รวมทั้งโดนผีสิง โดนวิญญาณร้ายและอาถรรพ์ต่างๆ และที่แปลกและพึ่งได้ยินก็คือ มีชายคนหนึ่ง "โดนของ" ของพวกอิสลาม อาการหนักมาก ซึ่งกำลังนอนรักษาอยู่บนศาลานี้ด้วย ตอนเช้า ผมก็เห็นผู้หญิงโดนวิญญาณร้ายมาให้ท่านช่วยรักษา ผมเห็นการบำเพ็ญของท่านแล้ว แม้มันจะไม่ใช่ทางสายตรง แต่ก็ได้แต่อนุโมทนาและเหนื่อยแทนท่าน 

         เฮ้อ...  ทำไมมันมีแต่ความทุกข์กันมากมายนักหนา มนุษย์เอ๋ย เทวดาเอ้ย วิญญาณเอย ทำไมถึงวุ่นวายกันนักหนาหนอ แทนที่พระคุณเจ้า ท่านจะได้มีเวลาไปบำเพ็ญภาวนาเพื่อความหลุดพ้น กลับต้องมาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เพราะความเมตตาของพระคุณเจ้าแท้ๆ หลวงตาท่านพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า ..."เพราะคนบุญ คนภาวนา คนปฏิบัติธรรมมันน้อยลง พวกมารมันจึงมีพละกำลังกันมากขึ้น ขอให้ด็อกเตอร์มาภาวนามาช่วยกันเด้อ"...  

        เฮ้อ...ผมก็พูดไม่ออกกับสิ่งเหล่านี้ คงจะมีแต่ความเมตตาเท่านั้น ที่จะคอยคุ้มครองตัวผมและผู้อยู่ใกล้ชิด คงไม่มีสิ่งใดเป็นเกาะป้องกันได้ดี เท่ากับคุณธรรมที่มีอยู่ในตัวเราอีกแล้ว ขอให้พวกเรา จงช่วยกันเร่งสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นภายในตัวเองเถิด แล้วจักปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายได้เอง 

         ท่านทั้งหลาย นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่ผมรับฟังมา แล้วอยากจะถ่ายทอดให้ทุกท่านได้พิจารณา ผมเองเคยลุ่มหลงอยู่กับการร่วงหล่นของลูกแก้ว เพ็ชรนาคา เหล็กไหล พระธาตุ และพระพุทธรูปทั้งทองคำ สัมฤทธิ์ และเนื้อดิน หล่นมาทางอากาศมากมาย จนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา เพราะผมหลงอยู่กับสิ่งเหล่านี้ มานานเป็นเวลาร่วม 6 ปี (เป็นความหลงที่ได้ละวางแล้ว) ซึ่งมันต่างกันลิบลับ กับเรื่องของหลวงตาเณร แต่ความอัศจรรย์นั้น มันคือเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกันตรงฝ่ายธรรมและฝ่ายมารเท่านั้น เรื่องนี้มันเป็นปัจจัตตัง และนานาจิตตัง จงใช้วิจารณญาณกันเอาเองเถิด


         🔸 6. สร้างพระพุทธรูป
           หลวงพ่อขาวและหลวงพ่อดำนาคปรก

         ตื่นเช้าขึ้นมา ในวันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2555 ผมจึงได้มีโอกาสออกสำรวจพื้นที่สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิตอีกครั้ง ภายในสำนักสงฆ์ มีสิ่งที่แสดงถึงบุญบารมีของหลวงตาเณรก็คือ ศาลาหลังปัจจุบัน ที่ใช้เวลาในการสร้างประมาณ 15 วัน ด้วยความร่วมแรงและงบประมาณของชาวบ้าน สร้างเสร็จเร็วเสมือนเป็นการเนรมิต และเป็นสำนักสงฆ์ใหม่แบบสดซิงๆ  นอกจากนั้น หลวงตาเณรบอกว่า พระเบื้องบน(ผู้เขียนไม่ทราบว่าเป็นใคร) ยังกำหนดให้หลวงตาเณร สร้างพระพุทธรูปนาคปรก จำนวน 9 องค์ 9 แห่ง เพื่อการสร้างบารมีและสืบต่อพระพุทธศาสนา ผมเองได้มีส่วนร่วมในการสร้างพระพุทธรูป (หลวงพ่อขาว) องค์ที่ 6 ที่กำลังปั้นอยู่ในบริเวณสำนักสงฆ์แห่งนี้



          🔸 7. ข้ามฝั่งสู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว  

          หลังจากเดินดูบริเวณภายในวัดแล้ว ผมได้รับแจ้งจากคุณนกว่า วันนี้พวกเราต้องเดินทางด่วนข้ามไปที่ประเทศลาว เพื่อไปดูสถานที่สร้างพระพุทธรูปองค์ที่ 9 แบบเร่งด่วน ความจริงแล้ว ผมทราบจากหลวงตาเณร ตั้งแต่เมื่อวานที่เดินทางมาถึงแล้วว่า พระเบื้องบนปรารถนาให้ท่านและผม เดินทางด่วนข้ามไปที่ประเทศลาว และลัดคิวสร้างองค์ที่ 9 ก่อนองค์ที่ 7 และ 8 ที่ยังไม่ได้สร้าง หลวงตาบอกผมประมาณว่า เสมือนพระเบื้องบนจะเร่งให้ท่านสร้างบารมี และหลวงตาเณรยังได้พูดต่อกับผมว่า... "ด็อกเตอร์ไปนำกันเด้อ ขอบารมีด็อกเตอร์ ไปช่วยกันเด้อ"...

          อย่างไรก็ตาม เมื่อตอนกลางคืน พวกเราได้ทราบว่า คุณฝนซึ่งเป็นภรรยาของคุณวิสุทธิ์ ซึ่งทั้งคู่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศลาวมานานร่วม 20 ปี ได้แจ้งว่าจะขอเลื่อนเป็นวันที่ 12 มีนาคม พวกเราก็นิ่งและคิดกันว่า คงไม่ได้ไปประเทศลาวแล้ว เพราะผมจะต้องเดินทางกลับวันที่ 11 มีนาคม แต่พอตอนเช้าวันที่ 11 ขณะที่ผมกำลังเดินสำรวจบริเวณวัดอยู่นั้น คุณนกได้รับโทรศัพท์จากคุณวิสุทธิ์ว่า ให้พวกเราเตรียมตัวโดยด่วน เพราะจะข้ามไป "ภูเขาควาย" ประเทศลาวในวันนี้ หลวงตาบอกว่า สงสัยพระเบื้องบนต้องการให้ไปจริงๆ แต่มีมารเข้ามาขัดขวางตั้งแต่เมื่อคืน และในตอนเช้า หลวงตาก็เกิดอาการท้องเสียแบบฉับพลัน แต่หลวงตาไม่ถอย บอกให้ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางได้ 

          เวลาประมาณ 9.00 น. เมื่อคณะพวกเราข้ามสะพานไปถึงฝั่งประเทศลาวแล้ว พวกเราได้รอพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของลาวนานพอสมควร หลังจากนั้น จึงรีบออกเดินทางสู่เมืองหลวงกำแพงเวียงจันทน์ทันที ด้วยรถยนต์โฟวีลของคุณวิสุทธิ์ คณะของพวกเรามีทั้งหมด 8 คน เมื่อถึงกำแพงเวียงจันทน์แล้ว พวกเราได้แวะเพื่อให้คุณฝนไปเอารถยนต์ของพี่สะใภ้อีกคัน แล้วให้ขับตามไป เพื่อจะได้สะดวกในการเดินทาง 

          อย่างไรก็ตาม การเดินทางของพวกเราในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้าบ้าง หลวงตาเณรบอกผมว่า... "ด็อกเตอร์ช่วยภาวนาให้ผ่านตลอดเด้อ"... เมื่อคณะของพวกเราไปถึงสะพานข้ามแม่น้ำงึม ตรงด่านเก็บเงินผ่านทาง พวกเราได้แวะจอดข้างแพริมแม่น้ำงึม เพื่อรอรถที่คุณฝนขับตามมา นานเกือบชั่วโมง โทรศัพท์ก็ไม่สามารถติดต่อได้ คณะพวกเราไม่รู้จะทำอย่างไร หลวงตาเณรท่านจึงได้จุดธูปบอกกล่าวองค์ปู่พรหมจักร ผู้ดูแลดินแดนฝั่งประเทศลาว พร้อมกันนั้น คุณนกเธอได้เดินมาบอกผมว่า... "ด็อกเตอร์ช่วยอธิษฐานจิต ขอบารมีให้พวกเราไปสะดวกด้วยนะค่ะ"... เมื่อไม่สามารถติดต่อได้ พวกเราลงความเห็นว่า ต้องเสี่ยงเดินทางไปก่อนคุณฝน เมื่อรถมาถึงด่านเก็บเงิน ปรากฏว่า รถยนต์ของคุณฝนวิ่งมาต่อท้ายอย่างพอดิบพอดี ชั่งบังเอิญอะไรขนาดนี้ เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่สนทนากันเกือบตลอดเส้นทาง และการเดินทางเพื่อแสวงบุญของพวกเราในครั้งนี้ ก็เป็นไปด้วยความสะดวกและราบรื่นทุกประการ




         🔸 8. วัดพระบาทด่านเพย ดินแดนพุทธภูมิ

          คณะของพวกเรา เดินทางผ่านเส้นทางภูเขาควายอันเลื่องชื่อ ถ้าหากใครได้อ่านประวัติของพระอรหันต์ ตั้งแต่หลวงปู่มั่น พระอาจารย์เสาร์และสานุศิษย์ มักจะพบว่า เป็นดินแดนที่พ่อแม่ครูอาจารย์ ท่องจาริกธุดงค์ผ่านเส้นทางอาถรรพ์นี้ทั้งนั้น ผมเองเคยปรารถนาอยากจะเดินทางตามรอยเส้นทางของครูอาจารย์มานานแล้ว วันนี้ ก็ได้แต่นึกปลื้มปีติอยู่ในใจ ที่ได้เดินทางมาราวกับปาฏิหาริย์ เพราะไม่เคยนึก ไม่เคยอยู่ในโปรแกรมอะไรทั้งสิ้น 

           พวกเราขับรถแล่นผ่านบริเวณถ้ำแห่งหนึ่ง ที่หลวงตาเณรบอกว่า เป็นถ้ำที่หลวงปู่ใหญ่พำนักอยู่ และผมก็เคยอ่านเรื่องราวลูกศิษย์สายหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรว่า หลายๆท่านได้มาเรียนวิชากับคณะของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ณ ถ้ำแห่งนี้ ว่ากันว่า เส้นทางที่จะเข้าถ้ำแห่งนี้ได้ก็คือ 1. ดำน้ำรอดถ้ำเข้าไปไกลมาก 2. เข้าทางด้านบนถ้ำน่าจะลำบากมากที่สุด 3. เข้าไปด้วยอภินิหาริย์  ซึ่งหลวงตาเณรบอกกับผมว่า ท่านก็อยากจะเข้าไปในถ้ำนี้ แต่คงจะสร้างพระองค์ที่ 9 ที่ภูเขาควายให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะสามารถเข้าไปได้ พวกเรามีกำหนดการ จะเดินทางไปที่ลาวอีกครั้ง ในวันที่ 30, 31 มีนาคม และ 1 เมษายน 2555 นี้

         ต่อมา คณะของพวกเรา เดินทางมาถึงวัดสันติธรรม พระบาทด่านเพย  แขวงเวียงจันทน์ ที่อยู่ห่างจากกำแพงเวียงจันทน์ประมาณ 80 กิโลเมตร วัดแห่งนี้ตั้งอยู่เชิงภูเขาควายด้านทิศเหนือ เมื่อคณะพวกเรามาถึง ก็ได้พบกับแม่ชีรูปหนึ่ง ที่เป็นผู้ดูแลวัดทั้งหมด วัดนี้ไม่มีพระสงฆ์อยู่เลย เนื่องจากสู้ภูมิที่นี่ไม่ได้ หากไม่ใช่พระนักปฏิบัติ แม่ชีท่านออกมารับหลวงตาและคณะของพวกเรา ท่านได้เชิญไปที่ศาลาหลังใน ก็ได้พบกับครูบาลาวองค์หนึ่งที่มารออยู่แล้ว ครูบาองค์นี้ ท่านเคยมาที่สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิตเมื่อไม่นาน วันนี้ปรากฏว่า ท่านเกิดอาการกระวนกระวายร้อนรน พอทราบว่า หลวงตาจะมาที่ลาว ท่านจึงได้มารอพร้อมกับบอกว่า พญานาคตามท่านมาจากหนองคายมาอยู่ด้วย ผมสังเกตดูท่าน เห็นมีอาการแปลก ดวงตาแดงกล่ำคล้ายตาพญานาค 

        หลังจากนั้น ผมได้เดินไปที่วิหารหลังหนึ่ง ซึ่งภายในมีรอยพระพุทธบาทโบราณตั้งแต่เมื่อครั้งพุทธกาล สวยงามมาก นอกจากนั้น ภายในพระวิหารยังมีพระพุทธรูปเสี่ยงทายอยู่องค์หนึ่ง ผมก็เลยถือโอกาสเสี่ยงทายเรื่องเดียวกันกับเมื่อครั้งอยู่วัดหลวงพ่อพระใสเมื่อวันก่อน ปรากฏว่า ผลของการเสี่ยงทายตรงกัน เมื่ออธิษฐานจิตว่า หากจัก(....) ในภพในชาตินี้ ขอให้พระมีน้ำหนักมาก ก็ปรากฏพระหนักมาก เมื่ออธิษฐานว่า หากจักสำเร็จขอให้พระมีน้ำหนักเบา ปรากฏว่า พระมีน้ำหนักเบาหวิวลอยละลิ่วขึ้นเหนือศรีษะจนสุดแขน ก็ดูอัศจรรย์ดี



พระพุทธรูปเสี่ยงทาย


          ต่อมา คณะของพวกเรา ได้เดินไปดูบริเวณที่กำลังก่อสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ที่อยู่บนเนินเขาตรงข้ามวิหาร ต้องเดินข้ามสะพานไป และเดินสำรวจดูบริเวณที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์ที่ 9 เพื่อให้เสร็จพิธีฉลองในวันที่ 31 มีนาคม 2555 ที่กำลังจะมาถึง แบบเร่งด่วนมากๆ หลวงตาเณรและแม่ชี พาคณะสำรวจพื้นที่ แม่ชีรูปนี้ว่ากันว่า ท่านมีดีพอสมควรจึงอยู่ที่วัดแห่งนี้ได้ เพราะภูมิที่นี่ น่าจะเป็นภูมิของพระพุทธเจ้า เพราะมีรอยพระพุทธบาท และกำลังสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ





            ต่อมา ผมได้รับทราบจากชาวลาว ที่มาช่วยแม่ชีที่วัดแห่งนี้ว่า ใกล้ๆกับบริเวณที่สร้างเจดีย์นี้ ประมาณ 500 เมตร ยังมีรอยพระพุทธบาทอีกสี่รอย ผมจึงถือโอกาสไปดูทันที รอยพระพุทธบาทแห่งนี้ หากดูผิวเผินจะไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่จากคำบอกเล่าของโยมบอกว่า แม่ชีท่านนิมิตเห็นจึงได้มาพบ แต่ผู้คนทั่วไปยังไม่ทราบ ผมจึงบอกทุกคนว่า หากอยากได้บุญมาก วันที่ 30 มีนาคมที่จะถึงนี้ ให้มาช่วยกันเอาดินออก และทำความสะอาด คงจะเห็นชัดเจนขึ้น







          🔸 9. สงเคราะห์สตรีลาวผู้เป็นโรคมาร

          เมื่อดูรอยพระพุทธบาทเสร็จแล้ว พวกเราย้อนกลับมาที่วัด เพื่อรับประทานอาหารที่พี่น้องชาวลาวได้เตรียมไว้ให้ หลังจากรับประทานเสร็จแล้ว มีสตรีท่านหนึ่ง เป็นโรคท้องมาร มีน้ำบวมทั้งตัว ไปหาหมอ หมอไม่สามารถรักษาได้ ต้องกลับมารอวันตายที่บ้าน เธอทรมานมาก แต่เธอก็มาต้อนรับคณะของพวกเรา ต่อมามีโยมสตรีท่านหนึ่ง เดินมาที่ผมแล้วบอกว่า... "อาจารย์ซอยเพิ่นแน บ่ฮู้เป็นอีหยัง ซอยเพิ่นแนเด้อ"... (อาจารย์ช่วยเธอด้วย ไม่รู้เป็นอะไร ช่วยเธอด้วย) ตอนแรกผมพิจารณาแล้ว คงเป็นโรคกรรมแน่ๆ แล้วผมจะช่วยเธออย่างไรหนอ ผมไม่อยากยุ่งเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรนี้เลย เธอนั่งมองผมด้วยอาการที่เศร้า และรอความหวังอะไรสักอย่าง ผมพิจารณาเห็นความทุกข์ของเธอ ชั่งมากมายเหลือเกิน ในจิตตอนแรกบอกว่าจะไม่ยุ่ง แต่ไม่นานจิตของผม กลับบังเกิดความเมตตาขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมจึงเดินไปที่เธอ แล้วบอกเธอว่า ผมจะช่วยสงเคราะห์เธอนะ ยื่นมือทั้งสองมาซิ แล้วผมได้ยื่นมือทั้งสองของผมวางอยู่เหนือฝ่ามือของเธอ พร้อมกับอธิษฐานจิตตามวิธีของผม ขอเจรจากับเจ้ากรรมนายเวรของเธอว่า... "สิ่งที่ผ่านมาแล้ว ล้วนทำให้เกิดความทุกข์ทั้งสองฝ่าย ความอาฆาตแค้นนั้น มันทำให้ทุกข์แสนสาหัส กรรมที่เธอได้กระทำลงไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ ก็สมควรได้รับกรรมอยู่ แต่บัดนี้ เธอก็กำลังได้รับกรรมแล้ว ขอท่านจงโปรดอโหสิกรรมเถิด ให้น้อมระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่ตั้ง พร้อมกับกล่าวอโหสิกรรมเถิด แล้วท่านจักพ้นทุกข์ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น"... ผมได้แผ่เมตตา พร้อมกับอัญเชิญพลานุภาพทั้งหลาย ด้วยหัวจิตหัวใจที่บริสุทธิ์ พร้อมกับถ่ายเทพลังเข้าสู่ร่างกายของเธอ ประมาณ 5 นาที เป็นอันเสร็จพิธี 

          หลังจากเสร็จสิ้นลง ผมถามเธอว่า รู้สึกเช่นไร เธอพูดระล่ำระลักออกมาพร้อมน้ำตาว่า... "ข้าน้อยรู้สึกดี มีพลังอันอบอุ่นวิ่งไปทั่วกายข้าน้อย"... ผมจึงบอกเธอว่า มาภาวนาและช่วยเหลือทางวัดนะ เอาธรรมภาวนาเป็นโอสถ อุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรด้วยการภาวนานะ เพราะผมบอกเจ้ากรรมนายเวรไว้แบบนั้น เธอยกมือไหว้ผมหลายครั้ง (ความจริงผมไม่เห็นเจ้ากรรมนายเวรหรอก แต่ก็พอรู้สึกถึงบางอย่างสื่อกลับมา)   

          ท่านทั้งหลาย หัวจิตหัวใจแห่งความเมตตาอันบริสุทธิ์นั้น มันชั่งมีพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ ที่ผมไม่สามารถที่จะอธิบายออกมาเป็นตัวอักษรได้ แม้จะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อย การให้กำลังใจคนที่กำลังอยู่ในความทุกข์แสนสาหัสนั้น ก็นับเป็นกุศลที่ประเสริฐแล้ว ผมได้กระทำลงไปแล้ว แม้จะเสี่ยงต่อการถูกอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวรของผู้อื่น แต่จิตอันเมตตานั้น มันลืมเรื่องนี้ไปทันที นี่คือประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดของผมอีกวาระหนึ่ง

         พวกเราได้เดินทางกลับถึงหนองคาย ประมาณเกือบหนึ่งทุ่ม ผม คุณหนุ่ม และคุณณี ขอแยกกลับโคราชที่ด่านเข้าเมืองหนองคาย กลับถึงโคราชประมาณเกือบตีหนึ่ง ตื่นเช้ามาต่างคนต่างกลับไปทำงานเช่นเคย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

         ท่านทั้งหลาย เมื่อท่านอ่านจบลงแล้ว ท่านคิดอย่างไร หากเกิดประโยชน์อยู่บ้าง ผมก็ขออนุโมทนา แต่หากเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ก็ขอให้ท่านวางเฉยเสีย นึกเสียว่าเป็นการอ่านนิยายเรื่องหนึ่งก็พอนะครับ ส่วนผมก็ได้ทำหน้าที่ในเรื่องนี้จบลงอย่างบริบูรณ์แล้ว ก็ขอให้ทุกท่าน จงมีความสุขความเจริญทุกท่านเทอญ

         ขอเจริญในธรรม
         ดร.นนต์
         17 มีนาคม 2555


❇️ บันทึกนักภาวนา ภาคพิเศษ 2
❇️ เส้นทางบุญจากโคราช-หนองคาย 
    สู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว
    30-31 มีนาคม และ 1 เมษายน 2555 



🌼  ตอนที่ 2
🍂  อัศจรรย์ประเทศลาว 

🔸1. บุพบท

          เรื่องราวของการแสวงบุญ ณ เขตภูเขาควาย ประเทศลาว ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 30, 31 มีนาคม และ 1 เมษายน 2555 ในครั้งนี้ จึงเป็นวาระต่อเนื่องจากเมื่อครั้งที่เคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา ดังที่ได้นำเสนอไปแล้ว

          การเดินทางในครั้งนี้ เริ่มขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 29 มีนาคม 2555 ผมพร้อมทั้งคุณหนุ่ม (ผอ.ชยุต) และคุณปพน (ลูกน้อง ผอ.หนุ่ม) ได้ออกเดินทางจากโคราช ราวบ่ายสามโมง มุ่งหน้าสู่สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิต อำเภอเมือง หนองคาย เพื่อไปพักค้างคืนที่นั่น    พวกเราไปถึงที่นั่นราวสองทุ่มกว่า เมื่อไปถึงได้พบกับหลวงตาเณรและคณะญาติธรรม ที่จะร่วมเดินทางไปประเทศลาวด้วย ประมาณสิบคน เมื่อสนทนากันได้เวลาสมควรแล้ว หลวงตาเณรได้ขอตัวไปภาวนา ส่วนผม คุณหนุ่ม และคุณปพน ได้อาศัยนั่งภาวนาอยู่บนศาลา ซึ่งเป็นที่พักเช่นเคย 

          ค่ำคืนนี้ พวกเราก็ยังคงถูกทดสอบด้วยพลังของพวกมนต์ดำ ที่ส่งวัตถุมาลองของ มีเสียงวัตถุหล่นใส่หลังคาศาลาดังเปรี้ยงปร้าง อยู่เป็นระยะๆ แต่พวกเราคุ้นเคยเสียแล้ว จึงไม่ได้สนใจ ส่วนแม่ออก(ญาติธรรม) ที่นอนบนศาลาด้วยกัน ก็เคยผ่านศึกสู้รบกับพวกมารที่ภูลังกามาแล้ว จึงเฉยเสีย

          เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ผมจึงได้ออกสำรวจบริเวณสำนักสงฆ์อีกครั้ง จึงพบว่า พระพุทธรูปนาคปรกหลวงพ่อองค์ขาว ได้สร้างใกล้เสร็จแล้ว  ต่อมา หลังจากอาหารเช้าแล้ว พวกเราได้มุ่งหน้าเดินทางสู่ประเทศลาว ผ่านสะพานมิตรภาพไทยลาวต่อไป

พระพุทธรูปหลวงพ่อองค์ขาวนาคปรก สำนักสงฆ์แสงจันทร์เนรมิต


🔸 2. ข้ามฝั่งแม่น้ำโขง
        สู่เขตภูเขาควาย ประเทศลาว

         คณะของพวกเรา เดินทางข้ามฝั่งไปยังภูเขาควาย ประเทศลาว ด้วยรถยนต์ส่วนตัวสองคัน และรถตู้เหมาของลาวอีก 1 คัน มีผู้ร่วมเดินทางประมาณยี่สิบกว่าคน ใช้เวลาในการเดินทางราว 3 ชั่วโมง ก็ถึงที่หมายคือ วัดสันติธรรม พระบาทด่านเพย แขวงเวียงจันทน์ วันนี้ ที่วัดดูคึกคักไปด้วยประชาชนชาวลาว เนื่องจากเป็นวันเริ่มต้นการเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี ซึ่งเป็นพระธาตุองค์แรก ที่สร้างขึ้นในรอบ 80 ปี ของประเทศลาว ด้วยบารมีของแม่ชีน้อย 

ป้ายโฆษณาข่าวบุญสมโภชน์พระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี


🔸 3. ความมหัศจรรย์ของหลวงพ่อองค์ดำ

          พระพุทธรูปองค์ดำ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่หลวงตาเณรและลูกศิษย์ได้ร่วมกันสร้าง ตามที่หลวงตาเณรบอกว่า หลวงปู่ใหญ่บัญชาลงมา พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นองค์ที่ 9 ที่สร้างก่อนองค์ที่ 7-8 เพื่อลัดคิวตามที่หลวงปู่ใหญ่บอก พวกเราจึงได้เดินทางไปดูสถานที่ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งได้ดำเนินการสร้างประมาณสิบกว่าวันก็เกือบจะแล้วเสร็จ เพื่อให้ทันพิธีเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์ในคราวเดียวกัน 

         วันแรก ที่พวกเรามาถึง และกำลังยืนดูพระพุทธรูปองค์นี้อยู่ ปรากฏมีเม็ดฝนโปรยปรายมาเป็นสาย กินบริเวณรอบพระพุทธรูปประมาณสิบกว่าเมตร ท่ามกลางแสงแดดจ้า เมื่อเดินออกนอกบริเวณ ก็ไม่มีเม็ดฝนแต่อย่างใด ช่างผู้สร้างพระบอกว่า จะมีเม็ดฝนโปรยลงมาแทบตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เพราะตลอดเวลาสามวัน ก็ปรากฏมีเม็ดฝนโปรยลงมาตลอดเวลา ประหนึ่งว่า พญานาค มาพ่นน้ำถวายพระพุทธรูปองค์ดำ

         ต่อมาในช่วงบ่ายวันแรก ที่พวกเราเดินทางไปถึง ได้พบพระพุทธรูปห้าพระองค์ ที่อยู่ใกล้กับพระองค์ดำ อยู่ในสภาพที่เก่า  คณะพวกเราจึงมีดำริที่จะซ่อมแซมด้วยการทาสีใหม่ เพื่อให้ทันในพิธีเฉลิมฉลองในคราเดียวกัน คุณป้าแสงผู้ใจบุญ ซึ่งเป็นผู้อุปฐากหลวงตาเณร ได้ดำเนินการจัดหาสี ญาติธรรมจึงได้ช่วยกันทำความสะอาดและทาสีใหม่ งานนี้สำเร็จด้วยผู้หญิง สมกับเป็นเมืองของผู้หญิง



แม่ออกชาวไทย ช่วยกันทำความสะอาดพระพุทธรูป




เจริญพระพุทธมนต์


🔸 4. ค้นหาและบูรณะพระพุทธบาทสี่รอย

          ในเช้าของวันที่ 31 มีนาคม 2555 พวกเราได้ร่วมกันปลูกต้นศรีมหาโพธิ์และต้นสาระ ที่นำไปจากประเทศไทยหลายต้น ขณะที่ทำพิธีปลูกต้นโพธิ์อยู่นั้น ปรากฏมีเม็ดฝนโปรยลงมาเป็นระยะ เฉพาะในบริเวณนั้น 

          หลังจากได้ปลูกต้นโพธิ์เสร็จแล้ว พวกเราได้เดินทางไปยังบริเวณพระพุทธบาทสี่รอย ที่อยู่ห่างจากวัดประมาณ 500 เมตร เมื่อไปถึงแล้ว หลวงตาเณรได้จุดธูปบอกกล่าว และนำสวดมนต์เป็นพุทธบูชา พวกเราได้ร่วมกันทำความสะอาดบริเวณนั้น ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงช่วงบ่ายก็แล้วเสร็จ ตอนแรกรอยพระพุทธบาท เห็นแค่สองรอย อีกสองรอยนั้นทุกคนคิดว่าใช่ แต่เมื่อผมพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว คิดว่าคงไม่ใช่ ผมจึงต้องเดินสำรวจดูในบริเวณใกล้เคียง จึงพบอีกสองรอยที่ดินกลบอยู่ รวมทั้งรอยเล็กๆอีกสองสามรอย จึงได้ทำการขุดแต่งหน้าดินออก จึงมองเห็นรอยพระพุทธบาทชัดเจนมากขึ้น ส่วนรอยใหญ่ที่คิดว่าเป็นรอยพระพุทธบาทนั้น แท้จริงเป็นบ่อน้ำเป็นดานไห พอขุดเอาดินออกปรากฏว่ามีน้ำผุดขึ้นมามาก









มีรูปแผนที่ประเทศไทยนูนขึ้นมาอยู่ใกล้รอยพระพุทธบาท 
ประหนึ่งเป็นสัญลักษณ์บอกว่า ญาติธรรมชาวไทยจะมาเป็นผู้บูรณะรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ 
ด้วยบุญเก่าที่เคยบำเพ็ญอยู่บริเวณนี้กระมัง


รอยพระพุทธบาทครบทั้งสี่รอย

คล้ายรอยบาทสาวก


🔸 5. พิธีสมโภชน์พระธาตุเจดีย์องค์แรก 
      ในรอบ 80 ปีของลาว

           ก่อนที่พิธีเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี จะมีขึ้นในช่วงหัวค่ำ ในตอนเช้าของวันที่ 31 มีนาคม 2555 แม่ชีน้อยและคณะได้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้รับมาจากประเทศอินเดีย ที่เมืองหลวงพระนครเวียงจันทน์ โดยการแห่ด้วยขบวนรถ มีข้าราชการและผู้ใหญ่ทางการลาวมาร่วมงานหลายท่าน ส่วนผมเองได้นำพระบรมสารีริกธาตุจำนวน 2 ผอบ ไปมอบให้กับแม่ชี ซึ่งท่านได้นำไปบรรจุในพระธาตุเจดีย์ด้วย   นอกจากนั้น ผมและคุณหนุ่มได้ถวายเงินปัจจัย เพื่อร่วมสร้างพระธาตุเจดีย์จำนวนหนึ่ง รวมทั้งคณะของหลวงตาเณรและญาติธรรม ก็ได้นำผ้าป่ามาถวายในครั้งนี้ด้วย




ดร.นนต์ถวายพระบรมสารีริกธาตุและปัจจัยแด่แม่ชีน้อย 
พร้อมได้ถ่ายภาพร่วมกันกับคณะญาติธรรมจากเมืองไทย


          ต่อมา พิธีเฉลิมฉลองพระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี ในรอบ 80 ปี ของประเทศลาว ได้เริ่มขึ้นในค่ำคืนของวันที่ 31 มีนาคม 2555 โดยมีพิธีสวดมนต์ สลับกับการลำหรือแหล่มงคลทำนองลาว ตลอดทั้งคืน โดยมีทั้งพระสงฆ์ แม่ชี แม่ขาว อุบาสกอุบาสิกา ทั้งจากประชาชนชาวลาว และชาวไทย จำนวนหลายร้อยคน ผมเองหลังจากได้สวดมนต์หน้าพระพุทธรูปหลวงพ่อองค์ดำแล้ว ได้ไปนั่งภาวนาอยู่ด้านหลังของพระเจดีย์ ท่ามกลางเสียงสวดมนต์และการแหล่มงคลสลับกันไป สมาธิมีทั้งสงบบ้าง พิจารณาธรรมบ้าง เหนื่อยก็ล้มตัวลงนอนภาวนา กึ่งหลับกึ่งตื่น จึงฝันเป็นเรื่องเป็นราวตามทำนองการแหล่ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานนครเวียงจันทน์ เรื่องราวของพระนางผมหอม เรื่องราวของพระเวสสันดร และเรื่องราวของพระนางผุสดี ฟังแล้วก็ชั่งไพเราะจับใจ เสมือนเรื่องจริงและเรื่องฝัน เสมือนอยู่ในโลกอีกมิติหนึ่ง เสมือนอยู่ในเหตุการณ์ของเรื่องราวเหล่านั้นจริง  เสียงของคนลำก็ชั่งไพเราะ เสียงของพระที่สวดทำนองลาวก็ชั่งไพเราะ นี่หนอ เสียงแห่งโลก เสียงแห่งมนต์ เสียงแห่งธรรม แม้จะอยู่ที่แห่งใด ก็ชั่งมีแต่ความสุขเบิกบาน ด้วยเพราะเหตุแห่งศรัทธาในพระศาสนา 

         และต่อมา ประมาณตีสี่ ขณะที่ผมครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น ก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยเสียงตะไล ที่ถูกจุดดังขึ้นหลายนัด พร้อมกับเสียงอื้ออึงของผู้คน คล้ายเสียงสาธุการ ผมเองถึงกับต้องตื่นขึ้นมานั่งภาวนาต่อ  และมาทราบในภายหลังว่า มีพระแก้วเสด็จมาทางอากาศ มายังปะรำพิธี 1 องค์ ขนาดเท่าใดผมไม่ทราบ เพราะไม่ได้เห็น จึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในค่ำคืนนี้ ความจริงผมไม่แปลกใจหรอก เพราะผมก็เห็นพระและวัตถุศักดิ์สิทธิ์ เสด็จมาทางอากาศอยู่เป็นประจำ




พิธีเฉลิมฉลองหรือชาวลาวเรียกว่า การสมโภชน์พระธาตุเจดีย์เกศแก้วจุฬามณี 
ซึ่งตั้งชื่อตามที่มาของแม่ชีน้อย


🔸 6. สงเคราะห์สตรีลาว
        ผู้เป็นโรคท้องมาร (ครั้งที่ 2)

          ในช่วงเช้าก่อนกลับเมืองไทย วันที่ 1 เมษายน 2555 สิบเอกอารีได้เดินมาหาผม แล้วบอกว่า... "อาจารย์ช่วยไปสงเคราะห์พี่สาวชาวลาว ที่อาจารย์เคยช่วยรักษาโรคท้องมาร เมื่อคราวที่แล้วด้วยครับ"... ผมจึงต้องเดินกลับไปยังบริเวณเจดีย์อีกครั้ง พอไปถึงก็พบกับสตรีชาวลาว ผู้ที่ผมเคยช่วยสงเคราะห์อธิษฐานจิตช่วยรักษาโรคท้องมาร ที่หมอไม่รับรักษาแล้ว ด้วยจิตอันเมตตาเมื่อคราวที่แล้ว (11 มีนาคม 2555) ผมเองก็รักษาไปตามวิถีจิตของผม ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะรักษาได้จริง ก็ทำๆไป เพื่อให้กำลังใจแก่เธอ แต่พอมาวันนี้ เธอเล่าให้ฟังว่า หลังจากผมสงเคราะห์เธอแล้ว เธอเกิดปีติสามารถกินอาหารได้มาก ความเจ็บปวดทรมานลดลง เธอสามารถนอนพลิกกายได้ สามารถนั่งภาวนาได้ ทำตามที่ผมบอก ทุกวันนี้ร่างกายที่บวมใหญ่ไปด้วยน้ำ ได้ยุบลง ร่างกายมีเนื้อมีเลือดมากขึ้น การกิน การนอน การขับถ่ายดีขึ้น ผมจึงได้สงเคราะห์เธออีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นลง ผมถามเธอว่า รู้สึกเป็นอย่างไร เธอตอบว่า คราวที่แล้วมีพลังวิ่งเข้าสู่กายเธอมากกว่าครั้งนี้ ผมจึงได้แต่ยิ้มๆ และให้พรเธอ ให้หายไวไว

         ท่านทั้งหลาย อย่าเข้าใจผิดว่า ผมเป็นผู้วิเศษที่สามารถรักษาโรคร้ายได้ ผมกระทำไปด้วยจิตอันบริสุทธิ์ ด้วยจิตอันเป็นเมตตา ผมไม่รู้หรอกว่า จะได้ผลจริงๆ แต่ผมกระทำไปเพื่อให้กำลังใจเธอต่างหาก แม้ขณะที่กระทำนั้น จะหมดพลังไปมากก็ตาม แต่เป็นพลังบุญที่เกิดจากจิตอันบริสุทธิ์ ก็นับเป็นกุศลแล้ว ความจริงไม่จริงทั้งหลาย ผมขอทิ้งไว้เบื้องหลังตลอดกาล

🔸 สรุปท้ายเรื่อง
 
         ท่านทั้งหลาย เรื่องราวที่ผมได้เขียนไปทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องจริงที่พบเจอมา แต่ความจริงแท้ทั้งหมด มันยังเกินวิสัยของผมที่จะรู้แจ้งได้ทั้งหมด ขอให้ท่านอ่านแบบวางใจไว้กลางๆ ค่อยๆพิจารณาตามไปว่า ส่วนไหนเป็นความจริงได้บ้าง ส่วนใดยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัย ข้อความใดต้องพิจารณา ข้อใดไม่สามารถเป็นความจริงได้ ขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาทั้งความจริงและไม่จริง เป็นอุบายธรรม แล้วท่านจะได้ประโยชน์จากการอ่านเรื่องราวเหล่านี้

         ขอเจริญในธรรม
         ดร.นนต์
         12 เมษายน 2555



นิราศหนองคาย ๒๕๕๖
"สภาวธรรมตามนิมิต"
..................................................

         ๑๖-๑๗ พฤศจิกาพาไปถึง
ที่แห่งหนึ่งซึ่งผูกพันมาก่อนหนา
ไปตามสัจจะที่เอ่ยสัญญา
ว่าผู้ข้ามาสร้างบุญบารมี
เมื่อคืนก่อนเธอผู้อยู่ในโลกทิพย์
มากระซิบเป็นนัยจิตวิถี
ว่าข้าบาทคือนางนาคี
สถิตอยู่ที่บ่อน้ำโบราณ

          พอรุ่งเช้ามีบุรุษโทรมาหา
ว่าหลวงตา(เณร)ผู้เคร่งกัมมัฏฐาน
ขอแรงบุญบารมีของอาจารย์
มาอธิษฐานช่วยกันอีกครา
ปีก่อนพากันไปภูเขาควาย
บากบั่นกันไปตามปรารถนา
สร้างพระพุทธรูปไว้บูชา
ณ แผ่นพสุธาประเทศลาว

         ปีนี้ หลวงตาสร้างพระองค์ใหญ่
ประดิษฐานไว้ข้างพระองค์ขาว
นับเป็นองค์ที่สิบต่อจากลาว
บนปฐพีชาวเมืองหนองคาย
จึ่งนำพระบรมสารีริกธาตุ
แลวัตถุธาตุไปบรรจุไว้
เพื่อสืบพุทธศาสนาต่อไป
ประกาศไว้แผ่นดินนี้มีธรรม

         ราตรีก่อนวันลอยกระทงปีนี้
มีพิธีสมโภชตั้งแต่หัวค่ำ
กวนข้าวทิพย์ด้วยสาวพรหมจรรย์
จุดตะไลคั่นกันตามประเพณี
มุมหนึ่งมีเทพแฝงร่างสังขาร
แผ่ญาณผ่านร่างสตรีผิวสี
ใครจะให้ช่วยรีบมาอย่ารอรี
ปู่ตาเจ้านี้มาจากฝั่งลาว

         โอ้หนอ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์
ชั่งแสนทุกข์สุดแท้จริงหนอท้าว
มีความสุขบ้างก็แสนชั่วคราว
เธอ ท้าว ก้าวไปในวงพิธี
หนุ่มนี้ สาวนั่น คลานเข้าไปหา
ขอปู่ตาปลดทุกข์ที่เป็นอยู่นี้
ปู่ตาบอกสารพัดวิธี
คราวนี้คงหายแน่กันทุกคน

          อีกมุมหนึ่ง บุรุษผู้ยังโง่เขลา
พิจารณาเข้าในความสับสน
เห็นความสุขทุกข์ทั้งเทพทั้งคน
ปะปนอลหม่านทั้งเขาทั้งเรา
มนุษย์สุขทุกข์ก็แบบมนุษย์
เทวดาสุขทุกข์ก็แบบเขา
สัตว์โลกล้วนมีทุกข์ไม่สร่างเซา
มีสุขใดเล่าที่เจ้าว่ามี

         เราผู้เขลาเฝ้าภาวนาเพียรพร่ำ
พิจารณาย้ำคำว่าทุกข์อีหลี
แล้วผู้ยังหลงเพลินอยู่ในวารี
ยังสุขดีกันอยู่หรืออย่างไร
จงกรมภาวนาไปตามถนน
เห็นผู้คนมีทุกข์มากแค่ไหน
ใจเรายิ่งทุกข์มากกว่าใครใคร
น้ำตาจึงไหลออกมาคลอคลอ

         กลับมานั่งภาวนาต่อ
ข้าขออุทิศให้ท่านตามคำขอ
ชาวโลกทิพย์โลกวิญญาณที่มารอ
อีกทั้งขอให้ทุกคนที่มา
บุญใดใดที่เราสร้างสมมาดี
ขอให้สุขีทั้งกายใจหนา
ทุกข์โศกเศร้าที่เคยมีมา
ขอธรรมรักษาทุกท่านเทอญ

         ขอเจริญในธรรม
         ดร.นนต์
         ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖




พิธีกวนข้าวทิพย์ และปล่อยโคมไฟเฉลิมฉลอง