ยินดีต้อนรับ

อริยธรรม ธรรมของพระอริยเจ้า ศิษย์หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

(124) อำนาจแห่งธรรม เมื่อพ่อสิ้นอายุขัย




อำนาจแห่งธรรม 
เมื่อบิดาสิ้นอายุขัย
และหน้าที่สุดท้ายของบุตร

ท่านทั้งหลาย พระพุทธองค์ตรัสว่า แม้ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันเป็นทุกข์ แม้ความพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักก็เป็นทุกข์ บัดนี้ บุรุษผู้หนึ่ง ได้เรียนรู้สภาวะธรรมที่บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เป็นสภาวะจริงๆ ที่บิดาได้แสดงให้เขาได้พิจารณา ตั้งแต่อาการเจ็บป่วยขณะที่บิดาอยู่โรงพยาบาล และอาการขั้นสุดท้าย เมื่อนำกลับมาที่บ้าน จวบจนสิ้นลมหายใจไปในที่สุด นอกจากนั้น ยังมีความอัศจรรย์อีกหลายอย่าง ที่ได้บังเกิดขึ้นพร้อมๆกัน จึงนับเป็นโอกาสที่บุรุษผู้นี้ ได้เรียนรู้สภาวะของตนเองอย่างแท้จริง จากเหตุการณ์ต่างๆต่อไปนี้ 

ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อถึงคราวิกฤติแห่งชีวิตความตาย ที่กำลังบังเกิดขึ้นกับบิดา บุรุษผู้นี้ กลับไม่หวั่นไหวหรือมีอาการเศร้าโศกเสียใจแต่อย่างใด และไม่ยินดียินร้ายในสภาวะต่างๆ ที่กำลังบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา มีแต่อาการอุเบกขาทรงอยู่  นั่นเป็นเพราะเขาได้พิจารณาเรื่องความตาย จนเข้าใกล้กระแสธรรมแห่งความเป็นจริงแล้ว และเมื่อมาถึงเหตุการณ์นี้ ขณะที่เขาได้พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย ที่กำลังบังเกิดขึ้น ท่ามกลางสายตาของผู้ตกอยู่ในความทุกข์ทั้งหลาย กลับปรากฏว่า ภายในจิตใจของเขา ได้ตัดความห่วงใยแบบพ่อลูกออกไป เสมือนภพชาติได้ตัดออกจากกันแล้ว ยังเหลือแต่ความหวังดี และความกตัญญูที่บุตรพึงมีต่อบิดา จึงได้เพียรทำหน้าที่ชอบ ด้วยการดูแลบิดาจวบจนวาระสุดท้ายของท่าน  ใครจะเห็นหรือไม่เห็นด้วย จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ในการกระทำของเขาก็ชั่ง ความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ ที่เขาได้ทุ่มเทให้กับบิดา ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น

เมื่อคราใด ที่บิดาเกิดอาการทุกขเวทนา บุรุษผู้เป็นบุตร เป็นผู้พิจารณาอาการอยู่ เมื่อเห็นที่สุดแห่งอาการนั้นแล้ว จิตใจของเขากลับมีความองอาจกล้าหาญบังเกิดขึ้น จึงยกเอาธรรมที่เพิ่งบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ยกเอาคำสอนของพระบรมศาสดา และคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ ในเรื่อง ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา ขอบิดาอย่าได้กลัวในความตายเลย ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง การเสื่อมสลายของธาตุขันธ์นี้ก็เช่นกัน ขอให้บิดาอย่ายึดมั่นถือมั่น จงปล่อยวางธาตุขันธ์นี้เสียเถิด  

เมื่อคราใด ที่บุรุษผู้นี้ได้ยกเอาธรรมขึ้นมาแสดง เมื่อคราใดที่เขาอธิษฐานจิตแผ่พลังบุญทั้งหลาย เพื่อช่วยบรรเทาอาการเวทนาของบิดา ก็ปรากฏว่า มีคลื่นแห่งความเย็นแผ่ซ่านเข้ามา จนทำให้ท่านอยู่ในอาการสงบอย่างอัศจรรย์ เมื่อคราใดที่เขาอาราธนาคุณของพระรัตนตรัย และครูอาจารย์ ได้โปรดเมตตาแผ่ฉัพพรรณรังสีแลแสงสว่างปกคลุมมายังบิดาของเขาด้วยเถิด เพื่อเป็นเครื่องนำทางท่านไปสู่สุคติภูมิสรวงสวรรค์ ก็ปรากฏว่า บิดาได้เห็นแสงสว่างนั้นจริงๆ พร้อมกับได้ยกมือขึ้นพนมมือ เพื่อเป็นการยืนยันว่า ท่านเห็นแสงสว่างนั้นจริงๆ

บิดาแสดง "ธรรมสังเวช" เป็นครั้งสุดท้าย

ต่อมา ก่อนที่บิดาใกล้จะสิ้นลมหายใจหลายชั่วโมง บุรุษผู้เป็นบุตร ได้ยกเอาข้อธรรมขึ้นมาแสดงต่อ และถามบิดาไปว่า "ยังห่วงธาตุขันธ์อยู่หรือไม่?" บิดาตอบว่า "ไม่" ... "พ่อยังมีสิ่งใดยังห่วงอยู่อีกหรือไม่?" ท่านก็ตอบว่า "ไม่" เขาก็บอกบิดาต่อไปว่า "จงทิ้งมันเสีย ร่างกายเน่าๆ ที่กำลังจะแตกดับอยู่นี่ ให้เหลือแต่จิตเบาๆ ใสๆ สว่างไสวนะ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์นะ ให้ภาวนาพุทโธนะ ให้ระลึกถึงบุญของตนเองนะ"  บิดาพยักหน้า และคลายอาการเวทนาลง จนในที่สุด ร่างกายที่เคร่งเกร็งและร้อนผ่าวด้วยพิษโรคร้าย ก็ค่อยๆคลายลง ขาและลำตัวค่อยๆเหยียดตรง ท่านมีสติและกำลังพอที่จะยกมือทั้งสองข้างวางทับกันลงบนอก หนังตาที่เคร่งตึงค่อยๆปิดลง ริมฝีปากค่อยๆหุบลง ผิวหนังใบหน้าค่อยๆอ่อนนุ่มลง และสุดท้าย ลมหายใจค่อยๆแผ่วเบาลง และก่อนจะสิ้นใจ เกิดลมหายใจสะอึกต่อกันสองครั้ง นับเป็นเฮือกสุดท้าย ใจก็ขาดสะบั้นลง จึงนับเป็นวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต ที่บิดาได้แสดง "ธรรมสังเวช" ต่อหน้าต่อตาผู้เป็นบุตร แม้ไม่มีผู้ใดเห็นกับเขา ไม่มีผู้ใดทราบว่า เขาได้เพ่งมองอาการสุดท้ายของบิดา ไม่มีผู้ใดรู้ว่า เขาได้กำหนดลมหายใจที่แผ่วเบาไปกับบิดา เขาลุ้นสภาวะไปพร้อมๆกับบิดา และในวาระสุดท้ายจะมาถึง เขาได้กระซิบบอกบิดาเบาๆว่า "พ่อทำใจให้เบาๆนะ นึกถึงความใส ความเย็น และตามแสงสว่างไปนะพ่อ" นี้คือหน้าที่สุดท้ายของผู้เป็นบุตร ที่พึงมีต่อบิดาในภพนี้ 

นอกจากนั้น ยังมีความอัศจรรย์หลายๆอย่าง ได้บังเกิดขึ้นระหว่างบุตรกับบิดา  ซึ่งยากที่บุคคลอื่นจะเข้าใจได้ ดังจะเห็นได้จาก บางครั้งแม้บิดาจะบังเกิดอาการทุกขเวทนาอย่างที่สุด แต่พลังแห่งบุญที่ท่านสั่งสมมา และพลังบุญของผู้เป็นบุตร ต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ต่างประคับประคองกันจนวาระสุดท้าย 

และมีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง คือ เมื่อใกล้วาระที่บิดาจะสิ้นลมหายใจ 1 วัน บุรุษผู้เป็นบุตร ได้กระทำหน้าที่เป็นสะพานบุญสุดท้ายให้กับบิดา ด้วยการนำเอาเงินของบรรดาลูกๆ จำนวนหนึ่ง ไปให้บิดาอธิษฐานจิตยกขึ้นเหนือหัว ก่อนที่จะนำไปถวายหลวงพ่อฉลวย อาภาธโร เพื่อสร้างถนนทางเข้าวัดโคกปราสาท จึงนับว่า เป็นอานิสงส์ครั้งสุดท้ายของบิดา ที่ได้ทำบุญกับพระอริยเจ้า ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันสูงสุด

พอรุ่งเช้า หลังจากที่บุรุษผู้เป็นบุตร ได้ถวายเงินปัจจัยแก่หลวงพ่อแล้ว ปรากฏว่า หลานสาวได้โทรศัพท์เข้ามา พร้อมกับร้องไห้บอกว่า พ่อได้สิ้นใจแล้ว พลันจั๊กจั่นเรไรและสัตว์นานา ต่างพากันร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งวัด อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับมีคลื่นบางอย่างแผ่ซ่านเข้ามา เขาได้ฟังแล้ว ก็ยังนั่งเฉยสงบนิ่งอยู่ ส่วนหลวงพ่อก็ได้แสดงธรรม ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ 

ต่อมา เมื่อบุรุษผู้นี้ได้กลับไปถึงบ้านแล้ว เหตุการณ์กลับตาลปัตร ปรากฏว่า บิดาของเขาได้ฟื้นขึ้นมา เขาก็ยังงงๆอยู่ว่า เมื่อเกือบชั่วโมงที่แล้ว บิดาได้ละสังขารไปแล้ว เมื่อพิจารณาในภายหลัง จึงทราบว่า ท่านมารับอานิสงส์ด้วยจิตของท่านเอง แต่อายุขัยยังไม่ถึงกาลสิ้น วิญญาณจึงต้องหวนคืนกลับเข้าสู่ร่างอีกครั้ง 

นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายเรื่องราว เช่น เรื่องนิมิต ที่บุรุษผู้นี้เห็นภาพล่วงหน้าว่า อาการก่อนที่บิดาจะละสังขารนั้นเป็นอย่างไร จึงได้เล่าให้ญาติพี่น้องฟัง ซึ่งต่อมาก็ได้บังเกิดขึ้นจริงตามนิมิตนั้นทุกประการ อีกทั้งมารดาของเขา ก็เกิดนิมิตเห็นเทวดาจำนวนมาก มาตั้งแถวรับบิดา ตั้งแต่หน้าวัดจนถึงบ้าน ในวันที่ท่านจะสิ้นใจ อีกทั้งบิดาเองขณะที่นอนอยู่โรงพยาบาล ก็ฝันว่า มีเทวดาพากันมารับท่านไปเที่ยวสวรรค์  และเมื่อท่านสิ้นใจไปแล้ว เนื้อหนังมังสาของท่าน ก็ยังอ่อนนุ่มเหมือนยังมีชีวิตอยู่ 

อย่างไรก็ตาม การเจ็บป่วยและการสิ้นอายุขัยของบิดาในครั้งนี้ ทำให้บุรุษผู้นี้ มีโอกาสได้เรียนรู้สภาวธรรมต่างๆ ที่หาจากที่อื่นไม่ได้ จึงนับว่า เป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ในการฝึกความอดทน เพราะไม่ได้หลับได้นอนตลอดเวลา 7 วัน และยังถือโอกาสนี้ ทดแทนคุณบิดาเป็นครั้งสุดท้าย อย่างที่สุด สมภูมิกับที่ได้ปฏิบัติธรรมมาพอสมควรแก่ธรรม 

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์ ผู้เล่าแทนบุรุษผู้นั้น
19 มิถุนายน 2555