ยินดีต้อนรับ

อริยธรรม ธรรมของพระอริยเจ้า ศิษย์หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

(136) พิเคราะห์ "เต๋า" ลัทธินอกวิถีพุทธ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
 
ผมขอนำเอาบทความที่มีผู้เขียนถึงลัทธิเต๋า โดยไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นเจ้าของบทความเดิมนี้ เนื่องจากผมไปอ่านเจอในเฟสบุ๊คของเพื่อน จึงอ้างอิงมาจากเฟสบุ๊คของคุณชวาลา ชัยมีแรง เพื่อนผู้นี้เคยเรียนศิลปกรรมเทคโนโคราชมาด้วยกัน ชวาลา ชัยมีแรง เป็นนักแต่งเพลงผู้มีชื่อเสียงของเมืองไทย เพลงดังที่รู้จักกันดีก็คือ เพลงแสงจันทร์ ที่ร้องโดยมาลีฮวนนานั้นแหละคือเพลงที่เขาแต่งขึ้น จึงขอบคุณเจ้าของบทความเดิม และคุณชวาลา ชัยมีแรง มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
 
 
ลัทธิเต๋า
 



เมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว ชาวจีนตามลุ่มแม่น้ำเหลือง มีความเคารพธรรมชาติ เช่น ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ฯลฯ เป็นอย่างสูง แต่อันที่จริงเป็นการนับถือวิญญาณ (Spirits) ในระดับต่าง ๆ จากสูงมาหาต่ำ ได้แก่ วิญญาณแห่งสวรรค์ หรือ เซี่ยงตี่ (เทียนตี่) วิญญาณภาคพื้นดิน วิญญาณมนุษย์ และวิญญาณสัตว์ทั้งหลาย สวรรค์ถือว่าเป็นวิญญาณสูงสุด เป็นบรรพบุรุษของฮ่องเต้หรือพระจักรพรรดิ และเป็นหัวหน้าวิญญาณของบรรพบุรุษสวรรค์

ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นเจตจำนงของพระผู้เป็นเจ้า หรือ พูดให้ถูกที่สุดเป็นระเบียบแห่งเอกภพ ฮ่องเต้จะต้องทำการบูชาสวรรค์และแผ่นดินปีละครั้งประชาชนธรรมดาไม่อาจบูชาสวรรค์และโลกง่ายนัก จึงบูชาบรรพบุรุษผู้ล่วงลับของตนแทน เชื่อกันว่าวิญญาณของบรรพบุรุษยังดำรงอยู่ และจะคอยช่วยเหลือบุคคลที่กระทำการบูชาให้มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีการกินเลี้ยงฉลองอย่างมโหฬาร การบูชาเป็นเรื่องส่วนตัว และโดยตรง ไม่ใช่เพราะมีความกลัว หรือใช้เวทมนตร์คาถา ตามความคิดเก่าแก่ของจีน นักปราชญ์จีนโบราณ จึงพบคำอธิบายซึ่งยืนยันว่า ในเอกภาพนี้มีพลังหรือ อำนาจตรงกันข้ามอยู่ 2 อย่างคือ

1) หยาง (Positive Power) คือพลังบวกมีลักษณะสีแดง เป็นพลังเพศชาย พบในทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้ความอบอุ่น สว่างไสว มั่นคง สดใส เช่น ดวงอาทิตย์ ไฟ ฯลฯ
2) หยิน (Negative power) คือพลังลบ มีลักษณะสีดำ เป็นพลังเพศหญิง พบในทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้ความหนาวเย็น ความมืด อ่อนนุ่ม ชื้นแฉะ ลึกลับ และเปลี่ยนแปลง เช่น เงามืด น้ำ ฯลฯ

สวรรค์เป็นหยางแทบทั้งหมด และโลกเป็นหยินแทบทั้งหมดเช่นกัน จากการปะทะกันของสองสิ่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็อุบัติขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างมีพลังทั้งสองนี้ทั้งนั้น บางครั้งหยินอาจมีพลังแข็งแรง แต่บางครั้ง หยาง ก็มีพลังมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ท่อนไม้ ตามปกติเป็นหยิน แต่เมื่อโยนเข้าไปในกองไฟ ก็เปลี่ยนรูปเป็นหยางไป ในชีวิตคนหยินและหยางก่อให้เกิดความล้มเหลวและความสำเร็จเป็นต้น เช่นเดียวกัน หยางและหยินไม่ใช่เป็นตัวแทนของความดีและความชั่ว แต่ทั้งสองนี้มีความจำเป็นต่อกฏเกณฑ์และระเบียบของเอกภพ ทั้งสองนี้ไม่ใช่อยู่ในภาวะปะทะกันตลอดเวลา แต่ยามใดมีความสามัคคีกัน ทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นสิ่งดีด้วยกัน

ในระหว่างคริสตวรรษที่ 5 - 6 มีศาสดาทางศาสนาและปรัชญาเกิดขึ้นอย่างน่าสังเกต ในอินเดียมีศาสดามหาวีรและพระพุทธเจ้า ในกรีกมีโสคราตีส ในเปอร์เซียมีโชโรอัสเตอร์ ในจีนมีเล่าจื้อ และขงจื้อ ท่านเล่าจื้อ (Lao tze) เป็นศาสดาของศาสนาเต๋า ซึ่งได้หล่อหลอมชีวิตและอัธยาศัยชาวจีนกว่า 2000 ปีมาแล้ว

ชื่อจริงของเล่าจื้อ คือ ลี - เออร์ (Li Uhr) เกิดเมื่อปี 604 ก่อนคริสต์ศักราช ที่จังหวัดโฮนานประเทศจีน ตอนเมื่อเกิดนั้น กล่าวกันว่า พอคลอดออกมาก็เป็นคนมีผมหงอกขาว และมีอายุ 72 ปีแล้ว ด้วยเหตุนี้แหละท่านจึงชื่อ เล่าจื้อ ซึ่งหมายถึง "เด็กแก่" หรือ "ครูเฒ่า" เมื่อทำงานเป็นบรรณารักษ์ ที่หอสมุดหลวง สำนักของเจ้าเมือง ปรากฎว่ามีชื่อเสียงโด่งดังเพราะมี อำนาจสติปัญญาที่ลึกซึ้งเว้นคนธรรมดาสามัญ ครั้งหนึ่งขงจื้อเดินทางมาพบ ท่านไม่ชอบคำสอนของขงจื้อเลย ถึงกับพูดว่า "กลับไปเสียเถิดและเลิกความหยิ่งความอยากของท่านเสียด้วยนะ"

เล่าจื้อ ไม่ชอบชีวิตหรูหรา แต่ทุกคนดูเหมือนจะมุ่งมั่นเพื่อเงินชื่อเสียงและอำนาจ ในขณะเดียวกันทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยการโกงกินกันอย่างมโหฬาร ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งท่านจึงขับเกวียนเทียมวัวดำสองตัวมุ่งไปยังภูเขาด้านทิศตะวันตก (ทิเบต?) พอถึงประตูเมืองนายประตูจำได้ จึงขอร้องให้ท่านหยุดพักเพื่อเขียนปรัชญาแห่งชีวิต ท่านจึงได้เขียนตำราที่โด่งดังของท่านเป็นอักษรจีน 5,500 ตัว จากนั้นก็ได้เดินทางต่อไป ปรากฏว่าพอถึงช่องแดนระหว่างภูเขา ท่านก็หายเข้าไปในก้อนเมฆ อะไรได้เกิดขึ้นก็ตามทีเถิด ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครเห็นท่านอีกเลย

คัมภีร์ที่เล่าจื้อเขียนนี้ มีชื่อว่า เต๋า - เต๋อ - จิง (Tao - the - jing) แปลว่า คัมภีร์แห่งมรรคและอำนาจ เล่าจื้อเริ่มต้นด้วยการตอบปัญหาที่ว่า "อะไรคือแก่นของเอกภพ?" "ถ้าเราสามารถมองไปเบื้องหลังปรากฎการณ์ของสิ่งทั้งหลายได้ และพบลักษณาการที่ชีวิตเกิดขึ้นแล้ว เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร?" เล่าจื้ออธิบายว่า คำตอบมีอยู่พร้อมแล้วในว่า "เต๋า" คำนี้แปลกันมาว่า "ทาง", "มรรค" หรือ "แหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง" และเป็นการยากที่จะให้ความหมายเพราะคำ ๆ นี้ให้คำจำกัดความไม่ได้ แก่นแท้ของเต๋าลึกลับกว่าความลึกลับใด ๆ แต่ว่าก็มีบางสิ่งบางอย่างที่พอจะสังเกตได้ดังนี้

เต๋าไม่ใช่พระเป็นเจ้า แต่เป็นพลังหรืออำนาจที่หลั่งไหลท่วมท้นทุกสิ่งทุกอย่าง มีความรักทะนุถนอม แต่ก็ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือยึดสิ่งใดเป็นเจ้าของ เป็นสิ่งที่ทำงานอย่างนุ่มนวลและสงบเสงี่ยม โดยไม่ต้องพยายามสิ่งทั้งหลายก็จะเกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ ให้พิจารณาตัวอย่างความเจริญก้าวไปแต่ละปีของฤดูทั้ง 4 ซึ่งดำเนินไปตามกฏเกณฑ์จากฤดูหนึ่งไปสู่ฤดูหนึ่ง ชนิดไม่ทันได้สังเกต ถึงอย่างนั้น ในแต่ละฤดูธรรมชาติทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ โดยปราศจากความวุ่นวายในภาวะเช่นนี้ เต๋าทำหน้าที่ประธานอย่างสงบและอย่างได้ผล (วู - เว) เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี

ลัทธิเต๋ามีกำเนิดในประเทศจีน ต้นกำเนิดเดิมของลัทธิเต๋าไม่ใช่ลัทธิหรือศาสนา แต่เป็นปรัชญาธรรม เพื่อการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า โดยอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ตัดสิ่งที่เกิน ความจำเป็นของชีวิต รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ฟุ่มเฟือยและฝืนกับธรรมชาติ โดยกลับไป มีชีวิตแบบง่าย ๆ ท่ามกลางความสงบของป่าเขาลำเนาไพร แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปปรัชญาเต๋าได้ถูก ดัดแปลงให้สอดคล้องกับความเชื่อดั้งเดิมของจีนซึ่งบูชาพระเจ้าประจำธรรมชาติ ผสมกับความเชื่อ ในทางไสยศาสตร์อื่น ๆ จึงเกิดเป็นลัทธิเต๋า ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดในตอนต่อไป
 

ปรัชญาเต๋าเป็นระบบความคิดที่โดดเด่นต่างจากปรัชญาอื่น ๆ ของจีน กล่าวคือ มีแนวคิดที่นอกจากจะเน้นหนักในทางจริยศาสตร์แล้ว ยังมีแนวคิดทางด้านปรัชญาการเมืองและทัศนะในทางอภิปรัชญาค้นหาอันติมสัจจ์ที่เป็นรากฐานแห่งสรรพสิ่ง ตรงจุดนี้เองที่ทำให้ปรัชญาเต๋ายังคงยืนหยัดท่ามกลางกระแสปรัชญาอื่น ๆ ของโลกในปัจจุบันแม้นวันเวลาจะผ่านพ้นไปนานก็ตาม ปรัชญาเต๋า ยังคงเป็นสิ่งที่น่าศึกษาค้นคว้าสำหรับผู้รักการแสวงหาความจริง
 
ก่อนที่จะกล่าวถึงระบบแนวความคิดของปรัชญาเต๋า เราควรศึกษาชีวประวัติของผู้ให้กำเนิดนั่นคือท่าน "เหล่าจื้อ" ผู้ซึ่งมีชีวประวัติยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่อาจจะสันนิษฐานความเป็นมาของท่านจากบันทึก "ซื่อกี่" ซึ่งเป็นบันทึกที่รวบรวมโดยซิเบ๊เชียง นักประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ฮั่น แม้นว่าบันทึกนี้จะมีบางตอนที่ขัดแย้งทำให้เกิดความคลุมเคลือก็ตาม แต่เราอาจจะสรุปได้ว่าท่านเหลาจื๊อเกิดในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล เป็นชาวรัฐฌ้อ อำเภอหู ตำบลหลี หมู่บ้าน เค้กยินลี้ ชื่อเดิมของท่านคือ "ยื้อ แซ่ลี้" ส่วนชื่อเหลาจื๊อเป็นเพียงฉายาที่นิยมเรียกกันเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า "อาจารย์ผู้เฒ่า" ท่านเคยรับราชการในราชสำนักจิว โดยดำรงตำแหน่งเป็นบรรณารักษ์ใหญ่แห่งหอพระสมุดต่อมาได้เห็นความเสื่อมโทรมของราชวงศ์จิวจึงออกจากราชการจาริกไปถึงด่านแห่งหนึ่งก็ถูกนายด่านขอร้องให้เขียนคัมภีร์ ซึ่งท่านได้แต่งให้และได้ลาจากไปโดยไม่มีผู้ใดทราบ

คัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของลัทธิเต๋าคือ "เต๋าเต๋อจิง" ซึ่งเชื่อกันว่าท่านเหลาจื๊อเขียนขึ้น เมื่อประมาณศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล มีลักษณะเป็นหนังสือขนาดเล็กที่บรรจุถ้อยคำมากกว่า 5,000 คำ มีทั้งหมด 81 บท และนิยมแปลออกมาในรูปของร้อยกรอง เป็นคัมภีร์ที่มีผู้สนใจแปลเป็นภาษาอังกฤษมากรองลงจากคัมภีร์ไบเบิลและแปลเป็นภาษาอื่น ๆ อีกหลายภาษา จึงเป็นหนังสือของคนจีนที่มีผู้รู้กันดีมากที่สุดเล่มหนึ่ง

โวหารที่ใช้ในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงนั้นมีสำนวนลึกซึ้งยากแก่การเข้าใจ เพราะเขียนไว้ด้วยประโยคสั้น ๆ แต่กินความหมายพิสดารซึ่งจะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และจะต้องมีการอธิบาย อย่างยืดยาวจึงจะเข้าใจได้ ดังนั้นคัมภีร์นี้จึงมีนักปราชญ์เป็นจำนวนมากในสมัยต่อมา พยายามที่จะแต่งอรรถกถาและอรรกถาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่ท่านเสถียร โพธินันทะ (เสถียร โพธินันทะ. 2514 : 180) ได้กล่าวไว้คือ อรรถกถาเต๋าเต๋อจิงที่เขียนโดย เฮ่งเพี๊ยก ซึ่งเป็นปราชญ์ที่มีชีวิต ในสมัยสามก๊ก (ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 8)

ดังที่ได้ทราบมาแล้วว่า คัมภีร์เต๋าเต๋อจิงนี้มี 2 ภาค คือ "เต๋าจิง" และ "เต๋อจิง" เต๋าจิงเริ่มตั้งแต่บทที่ 1 - 37 อธิบายถึงความคิดที่เกี่ยวกับอันติมสัจจ์ และมรรควิธีแห่งการเข้าถึงอันติมสัจจ์นั้น โดยเริ่มต้นอธิบายตั้งแต่เต๋าคืออะไร ธรรมชาติของเต๋า การเกิดขึ้นของสิ่งที่เป็นสมมติบัญญัติหลักจริยธรรมของชีวิต ไปจนกระทั่งการอธิบายถึงวิถีทางเข้าถึงเต๋า ส่วนบทที่ 38 - 81 เป็นการอธิบายว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ลักษณะการเมืองการปกครองที่ดีเป็นอย่างไร ลักษณะของผู้เป็นปราชญ์ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข และประเทศในอุดมคตินั้นควรมีลักษณะอย่างไร

ความจริงสุงสุดที่ลัทธิเต๋าให้ความเคารพนับถือ คือ "เต๋า" ซึ่งเป็นเอกภาพของสรรพสิ่งเป็นที่เกิดและดับของสิ่งทั้งหลาย แต่เอกภาพนี้เป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุดโดยความหมายของคำว่า "เต๋า" ซึ่งเป็นเอกภาพของสรรพสิ่งทั้งมวลนี้มีความหมายว่า "หนทาง หรือวิธี" ซึ่งเป็นหนทางที่ไร้ทาง นั่นคือ เราไม่สามารถเห็นหนทางนี้ด้วยการเห็น ไปไม่ได้ด้วยการเดินแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นหนทางที่มีจุดหมายแฝงอยู่ในตัวเอง เป็นบ่อเกิดและเป็นจุดหมายสุดท้ายของเอกภพ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดหรือเหตุผล นอกจากการเปรียบเทียบ แต่การเปรียบเทียบก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ถึงเต๋าตัวจริง ดังคำกล่าวของเหลาจื๊อในเต๋าเต๋อจิง บทที่ 1 ซึ่งพจนา จันทรสันติ (พจนา จันทรสันติ. 2523 : 53) ได้แปลมาจาก "ภูมิปัญญาจีน" (The Wisdom of China) ของหลินยู่ถั่ง โดยแปลความไว้ว่า

"........เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าอันอมตะ
ชื่อที่ตั้งให้กันได้ ก็มิใช่ชื่ออันสูงส่ง
เต๋านั้นมิอาจอธิบาย และมิอาจตั้งชื่อ
เมื่อไร้ชื่อทำฉันใด จักให้ผู้อื่นรู้
ข้าพเจ้าขอเรียกสิ่งนั้นว่า "เต๋า" ไปพลาง ๆ
.....................................
บ่อเกิดนั้นสุดแสนลึกล้ำ
ความลึกล้ำสุดแสนนั้น
คือประตูที่เปิดไปสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิต"

นอกจากนี้แล้ว ในเต๋าเต็กเก็งบทที่ 6 ได้ทำให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของเต๋ามากขึ้น เพราะจากเอกภาพนี้เองที่เป็นบ่อเกิดของฟ้าและดิน พจนา จันทรสันติ (2523 : 61) ได้แปลความไว้ว่า

"อหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ
เป็นมารดาอันมหัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดานี้เอง
ได้ก่อเกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน"

สำหรับในบทที่ 25 ได้ทำให้เราเห็นและเข้าใจในอันติมสัจจ์นี้ได้ดียิ่งขึ้นถึงความยิ่งใหญ่ที่มีอยู่เป็นอยู่ด้วยตนเอง และจะมีอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แม้นว่าสิ่งทั้งหลายจะสูญสิ้นไปหมดแล้วก็ตามแต่เต๋าก็ยังอยู่ชั่วนิจนิรันดร พจนา จันทรสันติ (2523 : 95) ได้แปลความไว้ว่า
"ก่อนดำรงอยู่ของฟ้าและดิน
มีบางสิ่งบางอย่างมืดมัวเคลือบคลุม
เงียบงันโดดเดี่ยว
อยู่เพียงลำพัง ไม่แปรเปลี่ยน
เป็นอมตะหมุนเวียนไม่หยุดยั้ง
มีค่าควรแก่การเป็นมารดาของสรรพสิ่ง
ข้าพเจ้าไม่ทราบชื่อสิ่งนั้
แต่ถ้าถูกบังคับให้เรียก
ก็จะเรียกว่า "เต๋า"
และจะให้ชื่อว่า "ยิ่งใหญ่"
ยิ่งใหญ่หมายถึงความต่อเนื่อง
ความต่อเนื่องหมายถึงความยาวไกล
ความยาวไกลหมายถึงการกลับสู่ต้นกำเนิดเดิม
ดังนั้นเต๋าจึงยิ่งใหญ่
ฟ้าจึงยิ่งใหญ่
ดินจึงยิ่งใหญ่
ปราชญ์จึงยิ่งใหญ่
นี่คือความยิ่งใหญ่สี่ชนิดในจักรวาล
และปราชญ์ก็นับเป็นหนึ่งในนั้น
คนทำตามกฎแห่งดิน
ดินทำตามกฎแห่งฟ้า
ฟ้าทำตามกฎแห่งเต๋า
เต๋าคงอยู่และเป็นไปด้วยตนเอง"

 

ดังได้กล่าวมาแล้วนี้เราอาจสรุปได้ว่าเต๋าเป็นธรรมชาติที่มีอยู่เหนือถ้อยคำ จึงยากที่จะอธิบายให้ผู้คนเข้าใจได้ง่าย แต่มิได้หมายความว่าเราจะไม่มีโอกาสเข้าถึงเต๋า การเข้าถึงเต๋าและรู้จักเต๋ากระทำได้ด้วยการบำเพ็ญเพียร ทางจิตให้สงบจากอารมณ์ภายนอกทั้งอารมณ์ที่น่ายินดีและไม่น่ายินดี ไม่หลงเพลิดเพลินกับอารมณ์ที่ตนได้เข้าไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องแต่ควบคุมจิตให้อยู่ในภาวะบริสุทธิ์ ดังคำกล่าวในเต๋าเต๋อจิงบทที่ 10 ความว่า

"รักษาดวงวิญญาณให้พ้นจากความมัวหมอง
ทำจิตให้แน่วนิ่งเป็นหนึ่งเดียวได้หรือไม่
หายใจอย่างละเอียดอ่อนแผ่วเบา
เหมือนลมหลายใจของเด็กอ่อนได้หรือไม่
ชำระล้างญาณทัศนะให้หายมืดมัว
จนอาจแลเห็นกระจ่างชัดได้หรือไม่
มีความรักและปกครองอาณาจักร
โดยไม่เข้าไปบังคับบัญชาได้หรือไม่
ติดต่อรับรู้ และเผชิญทุกข์สุข
ด้วยความสงบนิ่งไม่ทุกข์ร้อนได้หรือไม่
แสวงหาความรู้แจ้ง
เพื่อละทิ้งอวิชชา ได้หรือไม่
ให้กำเนิด ให้การบำรุงเลี้ยง
ให้กำเนิด แต่มิได้ถือตนเป็นเจ้าของ
กระทำกิจ แต่มิได้ยกย่องตนเอง
เป็นผู้นำในหมู่ตน แต่มิได้เข้าไปบงการ
เหล่านี้คือคุณความดีอันลึกล้ำยิ่ง"
(พจนา จันทรสันติ. 2523 : 67)



การรักษาจิตให้บริสุทธิ์ คือ การเข้าถึงตัวตนภายในอันเป็นความรู้ที่ประเสริฐยิ่งกว่าการแสวงหามากเท่าใดก็ยิ่งรู้น้อยเท่านั้น เพราะจิตยิ่งพอกพูนกิเลสมากขึ้น ความอยาก ความต้องการและความยึดถือก็ทวีขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดมนุษย์ต้องตกเป็นทาสและถูกทำลายเพราะอวิชชานี้ ด้วยเหตุนี้นักปราชญ์เต๋า ก็คือผู้รู้แจ้ง ความรู้ภายในจึงสามารถสลัด ละ ปล่อยวางกิเลสตัณหาและหมด ซึ่งความยึดถือยึดติดในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
เราอาจสรุปได้ว่าคำสอนของเต๋ามุ่งให้บุคคลเข้าสู่สาระแห่งแก่นแท้โดยตรง โดยละความยึดถือมั่นในสิ่งทั้งปวง เป็นผู้อยู่พ้นจากความสงสัย ไปพ้นจากการแบ่งแยก ไม่ให้คุณค่าแก่สิ่งที่คนส่วนมากยึดถือ สลัดความหยิ่งยะโสโอหังออกไป สลัดความฉลาดและความเป็นคนเจ้าเหตุผล แต่หวนกลับมาดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติ มีชีวิตที่เรียบง่าย มีใจที่บริสุทธิ์ปราศจากความอยากความต้องการในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ความสงบจึงจะเกิดขึ้นได้ ดังคำกล่าวในเต๋าเต๋อจิงบทที่ 37 ความว่า

"เต๋าไม่เคยกระทำ
แม้กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็สำเร็จลุล่วงลง
หากกษัตริย์และเจ้านครสามารถรักษาเต๋าไว้ได้
โลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยความต่อเนื่อง
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป และเกิดการกระทำต่าง ๆ ขึ้น
จงปล่อยให้ความเรียบง่ายแต่บรรพกาลเป็นผู้ควบคุมการกระทำ
ความเรียบง่ายแต่บรรพกาลนี้ไร้ชื่อ
มันช่วยขจัดความอยากทั้งปวง
เมื่อขจัดความอยากได้
ความสงบย่อมเกิดขึ้น
ดังนั้นโลกย่อมถึงซึ่งสันติสุข"
(พจนา จันทรสันติ. 2523 : 67)


อย่างไรก็ตามรากฐานสำคัญที่จะนำบุคคลไปสู่ชีวิตที่เรียบง่ายนั้น ท่านเหลาจื๊อได้กล่าวไว้มี 3 ประการ คือ

1. การมีความรัก จะช่วยให้เรากล้าหาญ
2. การทำแต่พอควร จะทำให้เราเป็นคนเรียบง่ายมีจิตใจกว้างขวาง
3. การไม่เป็นเอกในโลก ทำให้เรารู้จักเป็นผู้ตามที่ดี

คุณธรรม 3 ประการนี้เป็นหลักปฏิบัติที่จะทำให้บุคคลได้รับชันะและปลอดภัยจากความทุกข์ทั้งปวงในโลก ซึ่งเราจะศึกษาได้จากเต๋าเต็กเก็งบทที่ 67 เต๋าเต๋อจิง บทที่ 80

"หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อย
มีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมือง
มากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่า
ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิต
และไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกล
ถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถ
ก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่
ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธ
ก็ไม่มีโอกาสจะใช้
ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราว
ด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือ
ให้เขานึกว่าอาหารพื้น ๆ นั้นโอชะ
บ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบาย
ประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชม
ในระหว่างเพื่อนบ้านนั้นต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
จนอาจได้ยินไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้าน
และตราบจนวันสุดท้ายของชีวิ
จะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย"
(พจนา จันทรสันติ. 2523 : 67)

 

บทที่ 80 นี้ แสดงให้เห็นถึงประเทศในอุดมคติของท่านเหลาจื๊อที่ต้องการให้มีรูปแบบที่เรียบง่ายไม่เนนความเป็นวัตถุนิยม แต่ส่งเสริมทางด้านจิตวิญญาณและให้คุณค่าของชีวิต วิถีชีวิตที่เรียบง่ายนี้จะทำให้ผู้คนมีความสุขในประเทศของตน โดยไม่จำเป็นต้องออกไปแสวงหาที่อื่น

ประเทศในอุดมคติของท่านเหลาจื๊อเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ที่มีพลเมืองน้อย เพราะท่านไม่เห็นด้วยกับการล่าอาณานิคม หรือการแสวงหาดินแดนเป็นเมืองขึ้น เพราะจะทำให้ประเทศใหญ่โตเกินไปจนยากที่จะปกครองได้ทั่วถึง และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกฎบัญญัติข้อบังคับต่าง ๆ ออกมามากมาย ประเทศน้อย คนน้อย ความสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจย่อมน้อยอันเป็นไปตามสัดส่วนการปกครองจึงเป็นไปได้ง่ายกว่า ทฤษฏีนี้เรียกว่า "เซียวก๊กกั้วมิ้น" ท่านเสถียร โพธินันทะ (2514 : 214) แปลว่า "ทำให้เป็นรัฐเล็ก ๆ มีพลเมืองน้อย ๆ " ความคิดทางการเมืองของท่านเหลาจื๊อนี้ นักทฤษฏีการเมืองในโลกปัจจุบันบางท่านอาจจะไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศมหาอำนาจที่มีพื้นดินและจำนวนประชากรมาก การปกครองแบบเสรีนิยมและธรรมชาตินิยมของท่านเหล่าจื๊อจึงยากที่จะปฏิบัติได้ในยุคปัจจุบันจนกวาเมื่อใดก็ตามทโลกที่เราอยู่นี้มีมนุษย์ที่หมดความเห็นแก่ตัวแล้ว เมื่อนั้นทฤษฎีทางการเมืองแบบเซียวก๊กกั้วมิ้นอาจจะถูกนำมาใช้ปฏิบัติให้เห็นจริงได้

ก่อนกำเนิดปรัชญาเต๋านั้นชาวจีนเคยนับถือธรรมชาติ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าธรรมชาติมีคุณลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ

1. ความเป็นวัฎจักรที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปอย่างเป็นระบบ เช่น การเกิดขึ้นของกลางวันและกลางคืน การหมุนเวียนเปลี่ยนไปของฤดูกาล ทำให้เกิดสภาพอากาศที่หลากหลายกันออกไปในแต่ละปี
2. มีการเกิดและดับตลอดเวลาเช่นความสว่างไสว และความมืดของพระจันทร์ทำให้เกิดข้างขึ้นข้างแรม
3. ความเป็นเอกภาพเดียวกันแม้นว่าเราจะเห็นว่า ธรรมชาติที่ปรากฎแก่ตามีความหลากหลายนับไม่ถ้วน ทำให้เกิดคุณสมบัติเฉพาะตัวบางอย่างก็คล้ายคลึง บางอย่างก็ตรงกันข้ามกัน แต่แท้จริงแล้วทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเอกภาพเดียวกัน

ด้วยสาเหตุดังได้กล่าวมาแล้วนี้ จึงทำให้นักปราชญ์จีนหลายท่านพยายามค้นหาความลี้ลับของธรรมชาติ ทำให้แนวคิดในเรื่องวิญญาณและผีได้แทรกเข้ามาปะปน จนเกิดความคิดที่ว่ามีวิญญาณแฝงอยู่ในธรรมชาติ วิญญาณที่ว่านี้มีตั้งแต่วิญญาณที่อยู่ในท้องฟ้าซึ่งเรียกว่าเทพแห่งฟ้า หรือเทพแห่งสวรรค์ (ภาษาจีนมีคำเรียกพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นี้ว่า "เทียน") ไล่ลงมาจนกระทั่งถึงเทพที่อยู่บนพื้นดิน ภูเขา ต้นไม้ ลำธาร แม่น้ำ ฯลฯ ลักษณะความเชื่อเช่นนี้เป็นแบบพหุเทวนิยม (Polytheism) กล่าวคือ เทพเจ้าแต่ละองค์ต่างมีฤทธิ์อำนาจ ถ้ามนุษย์คนใดต้องการบรรลุถึงซึ่งความปรารถนาของตน จะต้องกราบไหว้เซ่นสรวงเทพเจ้าแต่ละองค์แล้วแต่กรณี บางกลุ่มชนอาจจะยกย่องเทพเจ้าองค์หนึ่งให้ยิ่งใหญ่กว่าองค์อื่น ๆ แต่ในขณะเดียวกันเทพองค์ที่ยิ่งใหญ่นี้อาจจะถูกลดความสำคัญลงสำหรับอีกกลุ่มชนหนึ่

อย่างไรก็ตามโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ชาวจีนในสมัยโบราณนั้นนิยมยกย่องเทพแห่งสวรรค์ให้เป็นใหญ่กว่าเทพองค์อื่น ๆ เป็นเทวาดิเทพที่ต้องมีการเซ่นสรวงบูชาอยู่เสมอ และการทำพิธีกรรมเซ่นสรวงบูชานั้นสามัญชนไม่วสามารถกระทำได้ นอกจากพระมหากษัตริย์เท่านั้น เพราะเชื่อกันว่าพระองค์เป็นโอรสแห่งสวรรค์จึงมีหน้าที่ที่จะต้องกระทำการเซ่นไหว้เป็นประจำทุกปี จนกลายเป็นรัฐพิธีที่ใหญ่โตจะละเว้นมิได้เลย ในการเซ่นไหว้แต่ละครั้งนิยมฆ่าสัตว์นำมาสังเวยพร้อมกับข้าวปลาอาหาร รวมทั้งสุรา ที่มีรสเป็นเลิศ การทำพิธีกรรมแต่ละครั้งจะมีความประณีตในการถวายของบูชา เพราะมีผลต่อความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฏณ์ ปีใดที่เกิดความอดอยากแห้งแล้ง ยิ่งต้องมีการเซ่นไหว้เป็นพิเศษ มิฉะนั้นแล้วพวกที่คิดร้ายต่อราชบัลลังก์อาจยกขึ้นมาเป็นเหตุผลหนึ่งในการล้มล้างอำนาจองกษัตริย์เพราะเหตุที่ว่าเป็นผู้ทำให้ฟ้าพิโรธไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป และผู้ที่เข้ามาครอบครองคนใหม่ อาจจะอ้างถึงความชอบธรรมในการล้มล้างราชบัลลังก์กษัตริย์ของจีน จึงมีหน้าที่เป็นศาสนาจารย์โดยปริยาย อำนาจในทางศาสนาจึงอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมือง

สำหรับประชาชนซึ่งไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้ดังเช่นกษัตริย์ พวกเขาจะบูชาเทพบริวารองค์อื่น ๆ และวิญญาณบรรพบุรุษเพื่อสร้างความอบอุ่นใจและความมั่นคงในชีวิต ในแต่ละหมู่บ้านจึงมีศาลเจ้าให้กราบไหว้ และในแต่ละบ้านก็จะมีป้ายสถิตดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ

ความเชื่อของชาวจีนในเรื่องวิญญาณ ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะรู้จักและเข้าใจในธรรมชาติ โดยมีเป้าหมายที่จะเข้าใจในชีวิตของตนเอง จึงแสดงออกมาในรูปของความเชื่อแบบวิญญาณนิยม (Animism) ต่อมาเมื่อความรู้ได้พัฒนาขึ้นความเชื่อในเรื่องพระเจ้าค่อย ๆ จางลง นักปราชญ์โบราณ ของจีนได้ค้นพบกฎแห่งธรรมชาติที่ครอบงำความเป็นไปของเอกภพ และแสดงออกมาในรูปของพลังอำนาจทั้ง 2 ด้าน ที่เรียกว่าหยินและหยาง พลังหยินเป็นพลังลบที่แสดงออกถึงความมืด ความลึกลับ ความหนาวเย็น ความเปียกชื้น และความเป็นหญิง พลังนี้ปรากฏอยู่ในดิน พระจันทร์ และเงามืดส่วนพลังหยางเป็นพลังบวก แสดงออกถึงความสว่าง ความอบอุ่น ความแห้ง การสร้างสรรค์ และความเป็นชาย พลังนี้ปรากฏอยู่ในพระอาทิตย์ และสิ่งที่ส่องแสงสว่าง ในเอกภพนี้จะมีพลังทั้งสองอย่างผสมกันในสัดส่วนที่ทำให้เกิดเป็นสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา แต่ถ้าพลังอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่เป็นไปตามสัดส่วนก็จะทำให้ผลที่เกิดขึ้นวิปริตไป

โลกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเอกภพได้ถูกสร้าง ขึ้นมาด้วยพลังอำนาจทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้มีสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน แต่นักปราชญ์จีนในสมัยโบราณได้พยายามที่จะจัดระบบของมันออกมาเป็นกลุ่ม ๆ โดยพิจารณาจากคุณสมบัติ ซึ่งจำแนกออกมาได้เป็น 5 ธาตุ คือ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุไม้ ธาตุโลหะ (ซึ่งมุ่งหมายเฉพาะธาตุทอง) และธาตุดิน

อย่างไรก็ตามแม้นว่านักปราชญ์จีนในสมัยต่อมาจะสอนให้มนุษย์มีความเข้าใจธรรมชาติ โดยใช้ปัญญามากกว่าความงมงาย ผู้ที่จะเข้าใจคำสอนเช่นนี้ได้ก็คงมีแต่ผู้มีปัญญาเท่านั้น คนจีน โดยทั่ว ๆ ไปยังคงนับถือวิญญาณและเทพเจ้า เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปคำสอนของปราชญ์คงเหลือไว้ให้ปัญญาชนศึกษาและขบคิดต่อไป ส่วนสามัญชนยังคงยึดถือในความเชื่อเดิม ๆ เทพเจ้ายังคงได้รับการยกย่องบูชาถูกยึดถือเป็นที่พึ่งต่อไป

ปรัชญาของท่านเหลาจื๊อก็ตกอยู่ภายใต้กฎนี้เช่นกัน กล่าวคือ คำสอนของท่านที่มุ่งให้บุคคลเข้าในในธรรมชาติอย่างผู้มีปัญญา และดำเนินวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายที่สุด แต่พอวันเวลาได้ผ่านพ้นไปหลักคำสอน และคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงได้ถูกเสริมเติมแต่ง เน้นหนักในทางอภินิหารและเวทมนต์ ทำให้ปรัชญาเต๋าได้เปลี่ยนรูปมาอยู่ในลักษณะของลัทธิศาสนาที่นำเอาความเชื่อในเรื่อง หยินและหยางมาผสมกับความเชื่อดั้งเดิมของชาวจีนที่เคยบูชาพระเจ้าในธรรมชาติ รวมทั้งความเชื่อในทางไสยศาสตร์และการเล่นแร่แปรธาตุ

บุคคลแรกของลัทธิเต๋าที่เป็นผู้ก่อตั้งลัทธิคือนักพรต จางเต๋าหลิง แห่งภูเขาหลุ่งหัวซาน มณฑลเสฉวน นักพรตท่านนี้เคยประกาศว่าตนเองสำเร็จทิพยภาวะติดต่อกับเทพเจ้าได้ ท่านได้ยกให้ท่านเหลาจื๊อเป็นศาสดา และยกย่องคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงเป็นสูตรของศาสนา พร้อมทั้งเขียนคัมภีร์เพิ่มขึ้นมาอีกหลายเล่ม แต่ละเล่มล้วนหนักไปในเรื่องของไสยศาสตร์เวทย์มนต์ การเล่นแร่แปรธาตุ และการแสวงหายาอายุวัฒนะ และเชื่อกันว่าพรตผู้นี้มีทิพยอำนาจมากสามารถติดต่อกับวิญญาณต่าง ๆ ได้ รวมทั้งติดต่อกับท่านปรมาจารย์เหลาจื๊อ และมีความสามารถในการปราบปรามเหล่ามารร้ายภูติผีปีศาจได้ด้วยดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งท่านปรมาจารย์เหลาจื๊อได้มอบให้

สานุศิษย์จึงยกย่องท่านเป็น "เทียน ฉี เช็ง อิ เต๋า" (T'ien - Shih Cheng - Yi Tao) ซึ่งทอมสัน (Laurence G. Thompson. 1979 : 107) ได้แปลว่า "วิถีทางแห่งเอกภาพอันสมบูรณ์ของปรมาจารย์ ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากสวรรค์" (Way of Perfect Unity of the Master Designated by Heaven.) หรือตำราหลายเล่มใช้คำว่า "อาจารย์แห่งสวรรค์" (Celestial Teacher) ซึ่งต่อมาเจ้าลัทธิทุกคนได้ใช้สมณศักดิ์นี้กันตลอดมา

ความไม่ธรรมดาของท่านจางเต๋าหลิงนั้นมีผู้เล่ากันมากมาย เช่น ท่านได้รับการบวชเป็นนักพรตโดยวิญญาณของท่านเหลาจื๊อเป็นผู้บวชให้ ท่านสามารถค้นพบสูตรของความเป็นอมตะท่านจึงมีพลังชีวิตที่เป็นทิพย์ ท่านมีดาบศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถปราบปีศาจร้ายแม้อยู่ไกลถึง 1,000 ไมล์ และสุดท้ายเชื่อกันว่าท่านขึ้นสวรรค์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่โดยขี่เสือขึ้นไปทางยอดเขาหลุงหัวซานท่านจางเต๋าหลิง มีอายุยืนถึง 120 ปี

หลังจากนั้นทายาทสกุลจางได้สืบทอดตำแหน่งกันต่อมาตั้งแต่ลูกจนถึงหลาน ลูกหลานของท่านมีส่วนทำให้ลัทธิเต๋ามีความเป็นระบบมากขึ้น นิกายนี้จึงได้ชื่อว่า นิกายเช็งอิ (Cheng - Yi) ซึ่งเน้นในรหัสยลัทธิเชื่อถือโชคลางอภินิหารการเข้าทรงและ คาถาอาคมต่าง ๆ นักบวชในนิกายนี้มีครอบครัวได้เช่นเดียวกับชาวบ้านทั่วไป

ในขณะเดียวกันแนวทางเดิมของท่านเหลาจื๊อยังคงมีอยู่โดยมีผู้สืบทอดพยายามค้นหาความจริงภายในด้วยการดำเนินชีวิตตามแนวทางของท่านปรมาจารย์ พวกนี้ถูกเรียกว่าพวก "ชวน เชน เจียว" (Ch'uan - chen Chiao) ซึ่ง ทอมสัน (Laurence G. Thomson. 1979 : 107) ได้แปลว่า "การสืบทอดการบรรลุสิ่งสัมบูรณ์" (Tradition of Absolute Attainment) พวกนี้มีแนวทางชีวิตคล้ายกับชาวพุทธและนักพรตก็ดำเนินชีวิตเหมือนกับพระในพุทธศาสนา ต้องสละโสด งดน้ำเมา รับประทานอาหารามังสวิรัติ และที่เคร่งครัดมาก ๆ อาจต้องไปอยู่ตามถ้ำในเขาในป่า

วิวัฒนาการของลัทธิเต๋ายังคงมีอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ ปัจจุบันนี้ถ้าเราศึกษาคำสอนในลัทธิเต๋า เราอาจจะแปลกใจที่เห็นคำสอนในพุทธศาสนาหลายเรื่องได้เข้าไปแทรกอยู่ทั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องมาแต่อดีตในยุคสมัยที่พุทธศาสนามหายานได้เข้าไปเผยแพร่ในจีน ลัทธิเต๋ามีส่วนอย่งมากที่ช่วยตีความคำสอนในพุทธศาสนาเป็นภาษาจีน และชาวพุทธอินเดียที่เข้าไปเผยแพร่ศาสนาในจีน ซึ่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องภาษา ได้ใช้วิธียืมคำบางคำของเต๋ามาช่วยในการอธิบายแนวคิดของพุทธศาสนา ยิ่งนานวันเท่าใดอิทธิพลของพุทธศาสนาก็ยิ่งมีอิทธิพลต่อลัทธิเต๋ามากขึ้น ถ้าเราสังเกตให้ดีจะเห็นว่าไม่เพียงแต่ในด้านคำสอนเท่านั้น แม้แต่รูปแบบความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ก็ถูกนำไปปรับปรุงใช้จนกระทั่งนักบวชเต๋าที่เคยถือพรตตามถ้ำภูเขา ได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในอาราม และมีการถือโสดเช่นเดียวกับพระสงฆ์ในพุทธศาสนา อย่างเช่นนิกายชวนเชน เป็นต้น

ลัทธิเต๋าเคยรุ่งโรจน์ในจีนแผ่นดินใหญ่ ต่อมาต้องได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้ยึดครองประเทศจีนในปี พ.ศ. 2492 ได้ออกคำสั่งขับไล่นักบวชศาสนาต่าง ๆ นานา เช่น ไม่อนุญาตให้ทำพิธีกรรมทางศาสนา และไม่ให้เผยแพร่ศาสนา ด้วยวิธีใดทั้งสิ้น ผู้นับถือลัทธิเต๋าในแผ่นดินใหญ่จึงเหลือน้อยมาก เพราะหลายคนได้อพยพไปอยู่ไต้หวันและถิ่นอื่น ๆ จนกระทั่งหลังจากที่ประธานเหมาได้สิ้นชีวิตในปี พ.ศ. 2520 การผ่อนคลายทางศาสนาของจีนแผ่นดินใหญ่จึงดีกว่าแต่ก่อน เพราะประชนชนสามารถประกอบพิธีกรรมได้

สำหรับชาวเต๋าที่อพยพไปอยู่ไต้หวันได้นำเอาความเชื่อและลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เคยกระทำเมื่อสมัยอยู่ประเทศจีนไปด้วย เป็นเหตุให้มีการเผยแพร่ศาสนาด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งสมาคม การพิมพ์หนังสือธรรมะและการจัดพิธีถือศีลกินเจ นอกจากนี้ในบางนิกายมีเสรีภาพที่จะทำพิธีกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น การทรงเจ้า การทำพิธีไล่ผีร้าย การปลุกเสกของขลังและการทำพิธีกรรมต่าง ๆ ในวันสำคัญทางศาสนา ด้วยความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของผู้นับถือลัทธิเต๋าในไต้หวัน เป็นเหตุให้ทางราชการได้ยกย่องให้เป็นศาสนาประจำชาติ และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นอย่างดีตราบจนทุกวันนี้

วัดหรือสถานที่ทำพิธีกรรมของลัทธิเต๋ามีลักษณะเหมือนศาลเจ้าของจีนโดยทั่ว ๆ ไป เพียงแต่การตบแต่งภายในที่จะตั้งแท่นที่บูชานั้น ออกจะพิถีพิถันและมีข้อกำหนดกฎเกณฑ์มากมาย แม้ในไต้หวันซึ่งเป็นแหล่งที่มีผู้นับถือลัทธิเต๋ามาก ก็ยังมีการปฏิบัติในเรื่องนี้ต่างกันออกไป ระหว่างไต้หวันที่อยู่ตอนเหนือและตอนใต้ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าและไสยศาสตร์ แล.....
ดูเพิ่มเติม (ในเฟสบุ๊คมีแค่นี้ครับ)


 
บทพิเคราะห์โดย ดร.นนต์

ปรัชญาทั้งหลายที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ก็ล้วนเป็นความรู้ทางโลก แม้จะศึกษาปรัชญาจนจบเป็นล้านๆครั้ง และจบมาแล้วเป็นล้านๆภพ ก็มิอาจทำให้ผู้นั้นสำเร็จวิชชาที่แท้จริงได้ เพราะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เกิดมาแล้วก็ต้องเรียนใหม่ทุกภพชาติไปไม่สิ้นสุด มีแต่วิชชาของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่สามารถเรียนจบได้คือ วิชชาพระอรหันต์ เพราะเมื่อบุคคลใดเรียนจบแล้ว ไม่ต้องหวนกลับมาเกิดเพื่อเรียนรู้โลกนี้อีกต่อไป ท่านผู้เป็นนักปราชญ์ทั้งหลาย จงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยธรรม ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีปรัชญาหรือแม้แต่ศาสนาอื่นใดจะมาเทียบเคียงได้ ลองพิจารณาด้วยเหตุแลผลเถิด

สัจธรรมที่เที่ยงคือ แม้จะเป็นยุคใดสมัยใด จะเป็นเมื่อล้านปี แสนปี หมื่นปี พันปี ร้อยปีที่ผ่านมา หรือในอนาคตข้างหน้าก็ตาม สังคมบนโลกใบนี้ ก็ล้วนต้องมีคนหลากหลายปะปนกัน ทุกกาลสมัยล้วนต้องมีการเกิด เป็นเด็ก คนหนุ่ม คนแก่ มีการเจ็บการตาย มีผู้นำ ผู้ตาม คนจน คนรวย สุขทุกข์ ผู้มีอำนาจ กษัตริย์ นักรบ ข้าทาส นักบวช นักปราชญ์ นักการเมือง นักการปกครอง นักกฎหมาย มีกฎ มีระเบียบ มีสารพันความวุ่นวาย ความเสมอภาคกันของมนุษย์คือ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่ในฐานะอะไร เกิดในตระกูลแลเชื้อชาติใด จะยิ่งใหญ่หรือต่ำต้อยแค่ไหน ก็ล้วนเจอแต่ความวุ่นวายไม่สิ้นสุด หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อยเท่านั้น และหนีไม่พ้นความเจ็บความตายไปไม่พ้น 

เมื่อผู้คนเกิดมามากมายบนโลกใบนี้แล้ว จึงมีผู้มีปัญญาจำนวนหนึ่งได้พยายามแสวงหาวิธีที่จะทำให้ตนเองแลผู้อื่นได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติแลสงบร่มเย็น จึงเกิดนักปราชญ์ นักปรัชญา และศาสดาขึ้นมามากมาย แต่นั้นก็เป็นเพียงการทุเลาให้สังคมวุ่นวายน้อยลงเท่านั้น แต่ไม่มีผู้ใดหรือศาสดาอื่นใดเลย ที่จะนำพาให้มนุษย์พ้นจากวัฏฏะสงสารไปได้ ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้แจ้งแห่งหนทางทางพ้นทุกข์นี้ นอกนั้น จึงเป็นผู้รู้แต่ทางโลกและยังหลงอยู่ในวัฏฏะสงสารเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ปรัชญาทั้งหลายก็ยังมีความจำเป็นสำหรับมนุษย์ในสังคมหนึ่ง พระพุทธศาสนาก็ยังมีความจำเป็นสำหรับบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง ศาสนาอื่นก็ยังมีคุณต่อผู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง นี้แหละความหลากหลายบนโลกธาตุนี้ และจะยังมีต่อไปไม่สิ้นสุดจนกว่า โลกธาตุนี้จะระเบิดและแตกสลายไปในอีกสามหมื่นล้านปีข้างหน้า (โลกมีอายุทั้งสิ้นหกหมื่นล้านปี) เมื่อโลกนี้กลับมาเกิดอีกครั้ง วังวนแลวัฏจักรนี้ก็จะหวนกลับมาเป็นดังเดิมอีกครั้ง แลเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่สิ้นสุด เรื่องแบบนี้รู้ด้วยอาสวักขยญาณอันกว้างไกลของพระอรหันต์เจ้า เป็นเรื่องอจินไตยที่อยู่เหนือการรับรู้ของปุถุชน จึงเป็นปัจจัตตังสำหรับนักภาวนาเท่านั้นครับ

ปรัชญา อภิปรัชญา ลัทธิ หรือศาสนาใดศาสนาหนึ่งนั้น ย่อมบังเกิดขึ้นมาตามสภาวะแห่งการเกิดขึ้น เหตุที่บังเกิดขึ้นล้วนสอดคล้องกับสังคมนั้น ประเทศนั้น ในกาลเวลานั้น จึงเหมาะที่จะใช้กับสังคมหรือประเทศนั้นๆในกาลเวลาหนึ่ง จึงอาจไม่เหมาะกับสังคมอื่นหรือประเทศอื่น หรือแม้แต่แหล่งต้นกำเนิดเอง ดังจะเห็นได้จากวิวัฒนาการของลัทธิเต๋า ที่มีความเปลี่ยนแปลงและปรับตัวไปตามสังคมใหม่ไม่สิ้นสุด แต่แก่นของเต๋านั้นอาจมีเหลืออยู่ เช่นเดียวกันกับศาสนาพุทธ เมื่อภายหลังต่อมาจนถึงปัจจุบัน แก่นของพุทธได้ถูกบิดเบียนไป แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แต่ธรรมะที่แท้จริงนั้นยังมีอยู่ เพราะพระอรหันต์เจ้าเป็นผู้สืบทอดธรรมนั้นเรื่อยมา แม้จะมีน้อยมากขึ้นก็ตาม แต่พระอรหันต์เจ้าแลธรรมจริงของพระพุทธเจ้าจะยังคงอยู่ต่อไป ตราบจนสิ้นกาลของพระพุทธศาสนา 5,000 ปี ธรรมะจริงของพระพุทธเจ้ายังรอผู้มีบุญวาสนาอยู่ และผู้มีปัญญาจะสามารถค้นพบวิถีของพุทธที่แท้จริงได้

ท่านทั้งหลาย สรรพสิ่งล้วนเป็นสิ่งสมมุติที่เกิดมีขึ้นในโลกใบนี้ ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว จะทรงตัวหรือดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่งและแปรปรวนไปในระยะหนึ่ง สุดท้ายก็จะดับสลายหายไปในที่สุด นี่คือสัจธรรมของโลกธาตุนี้ แล้วท่านจะเลือกเดินทางตามวิถีของปรัชญา ลัทธิ หรือศาสนาใด ก็จงเลือกเอาเองเถิด ส่วนผมเห็นทางสว่างแห่งความพ้นทุกข์แล้ว จึงไม่ลังเลสงสัยในการที่จะก้าวตามรอยบาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อถึงที่สุดแห่งธรรม

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
17 กันยายน 2555

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

(135) ศาสนาฝ่ายมิจฉาทิฏฐิกำลังอวดปฏิหาริย์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ท่านเห็นอยู่หรือไม่ว่า ณ ปัจจุบันนี้ มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับชาวพุทธบ้าง ท่านทั้งหลายเคยได้ยินพระพุทธองค์ตรัสกับเหล่าสาวกหรือผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ว่า "เธอทั้งหลายเมื่อบวชเข้ามาแล้วจงไปสร้างโบสถ์สร้างศาลา ไปสร้างพระสร้างวัตถุมงคล และจงไปเรียนวิชาอาคมเสีย จงไปแสดงฤทธิ์อภินิหาริย์เถิด" ไม่เลยไม่เคยได้ยินพระพุทธองค์ตรัสเช่นนั้น มีแต่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "เธอทั้งหลาย เมื่อเข้ามาบวชแล้ว เธอจงตั้งใจเรียนกรรมฐานห้า เมื่อเรียนรู้แล้ว เธอทั้งหลายจงออกไปปลีกวิเวกยึดเอาป่าและโคนต้นไม้เป็นที่เพียรภาวเพื่อฆ่ากิเลสเถิด"

แต่ยุคสมัยนี้ บุคคลเมื่อบวชเข้ามาแล้ว กลับแสวงหากิเลสมาใส่ตัวไม่สิ้นสุด เมาบาปเมาบุญ สร้างวัดสร้างวาใหญ่โตมโหฬาร โหมโฆษณาวัดยิ่งกว่าศูนย์การค้า แข่งกันสร้างเหรียญสร้างวัตถุมงคล แม้ออกธุดงค์ก็หลงเรื่องฤทธิ์เรื่องอภิญญา ส่งจิตส่งของไปหาผู้อื่น วุ่นวายอยู่แต่ในเรื่องโลกียฌาน วุ่นวายอยู่แต่เรื่องบาปบุญของผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องสวนกับคำสอนของพระพุทธองค์ทั้งนั้น หาผู้จริงใจกำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจของตัวเองก็หาได้น้อย "ผู้ทรงธรรม" ดั่งเช่นพระอรหันต์เจ้าในโลกนี้ที่ดำรงธาตุขันธ์อยู่ก็เห็นมีแค่นับสิบองค์ นอกนั้น ล้วนเป็น "ผู้ทำทรง" ทั้งนั้น คือทำเป็นเหมือนผู้มีธรรมสูง ยึดและสอนตามตำรา ชอบแสดงฤทธิ์อภินิหาริย์ บ้างก็งมงายในเทพแลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทรงเทพ ทรงเจ้าเข้าผี บ้างก็เป็นวัดการค้าการตลาด บ้างก็ติดในลาภสักการะแลศรัทธา บ้างก็มัวมัวในวัตถุทางโลก ดูแล้วชั่งหดหู่หัวใจ หลวงพ่อพระอรหันต์เจ้าผู้ติดดินท่านกล่าวว่า "ผู้มีบุญและมีปัญญาเท่านั้น จึงจะค้นพบ "ผู้ทรงธรรม" ที่แท้จริงได้ ส่วนผู้ที่ยังมีความหลงแลไม่มีปัญญา แถมอวดดีและหยิ่งยะโส ก็มักหลงไปติดอยู่กับ "ผู้ทำทรง" ทั้งนั้น"

เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาที่คำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่แสดงไว้เป็นปัจฉิมโอวาท ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นความจริงของสรรพสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาว่า นับวันจะหาพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้จะเป็นเนื้อนาบุญให้โลกได้พึ่งอาศัย ได้สร้างบุญกุศล ได้ยากยิ่งขึ้น นี่แหละยุคของเทพมาดูแลศาสนา ความผิดเพี้ยนจึงบังเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้แสวงหาบัณฑิต บัณฑิตจะพากันไปแสวงหาธรรม ธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมที่แท้จริงย่อมไม่ผิดเพี้ยน และธรรมจริงนั้นยังมีอยู่ ขอผู้ที่เข้ามาอ่านเจอข้อความนี้ จงเป็นผู้มีปัญญาแลมีดวงตาที่เห็นธรรม ได้ค้นพบครูอาจารย์ผู้เป็นอริยสาวกที่แท้จริงทุกท่านเทอญ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
10 กันยายน 2555
 
 
ปัจฉิมโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
 

 

 



"ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มากมายเข้าแล้ว แผ่นดินนับวันแคบ มนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับวันมากขึ้น นโยบายในทางโลกีย์ใดๆก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนาจะไม่วิเวกวังเวง

ศาสนาทางมิจฉาทิฏฐิ ก็นับวันจะแสดงปฏิหาริย์ คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย

ฉะนั้น พวกเราทั้งหลาย จงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่แก่ธรรม...
ดังไฟที่กำลังไหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็นสังขารโลก ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด

ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์ ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆ และแยบคายด้วย จะเป็นสัมมาวิมุตติ และสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก

พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วงไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่หน้าสติ หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ"

โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น
(บันทึกโดยพระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต)
จากหนังสือ"เพชรน้ำหนึ่ง"

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

(124) อำนาจแห่งธรรม เมื่อพ่อสิ้นอายุขัย




อำนาจแห่งธรรม 
เมื่อบิดาสิ้นอายุขัย
และหน้าที่สุดท้ายของบุตร

ท่านทั้งหลาย พระพุทธองค์ตรัสว่า แม้ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันเป็นทุกข์ แม้ความพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักก็เป็นทุกข์ บัดนี้ บุรุษผู้หนึ่ง ได้เรียนรู้สภาวะธรรมที่บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เป็นสภาวะจริงๆ ที่บิดาได้แสดงให้เขาได้พิจารณา ตั้งแต่อาการเจ็บป่วยขณะที่บิดาอยู่โรงพยาบาล และอาการขั้นสุดท้าย เมื่อนำกลับมาที่บ้าน จวบจนสิ้นลมหายใจไปในที่สุด นอกจากนั้น ยังมีความอัศจรรย์อีกหลายอย่าง ที่ได้บังเกิดขึ้นพร้อมๆกัน จึงนับเป็นโอกาสที่บุรุษผู้นี้ ได้เรียนรู้สภาวะของตนเองอย่างแท้จริง จากเหตุการณ์ต่างๆต่อไปนี้ 

ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อถึงคราวิกฤติแห่งชีวิตความตาย ที่กำลังบังเกิดขึ้นกับบิดา บุรุษผู้นี้ กลับไม่หวั่นไหวหรือมีอาการเศร้าโศกเสียใจแต่อย่างใด และไม่ยินดียินร้ายในสภาวะต่างๆ ที่กำลังบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา มีแต่อาการอุเบกขาทรงอยู่  นั่นเป็นเพราะเขาได้พิจารณาเรื่องความตาย จนเข้าใกล้กระแสธรรมแห่งความเป็นจริงแล้ว และเมื่อมาถึงเหตุการณ์นี้ ขณะที่เขาได้พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย ที่กำลังบังเกิดขึ้น ท่ามกลางสายตาของผู้ตกอยู่ในความทุกข์ทั้งหลาย กลับปรากฏว่า ภายในจิตใจของเขา ได้ตัดความห่วงใยแบบพ่อลูกออกไป เสมือนภพชาติได้ตัดออกจากกันแล้ว ยังเหลือแต่ความหวังดี และความกตัญญูที่บุตรพึงมีต่อบิดา จึงได้เพียรทำหน้าที่ชอบ ด้วยการดูแลบิดาจวบจนวาระสุดท้ายของท่าน  ใครจะเห็นหรือไม่เห็นด้วย จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ในการกระทำของเขาก็ชั่ง ความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ ที่เขาได้ทุ่มเทให้กับบิดา ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น

เมื่อคราใด ที่บิดาเกิดอาการทุกขเวทนา บุรุษผู้เป็นบุตร เป็นผู้พิจารณาอาการอยู่ เมื่อเห็นที่สุดแห่งอาการนั้นแล้ว จิตใจของเขากลับมีความองอาจกล้าหาญบังเกิดขึ้น จึงยกเอาธรรมที่เพิ่งบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ยกเอาคำสอนของพระบรมศาสดา และคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ ในเรื่อง ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา ขอบิดาอย่าได้กลัวในความตายเลย ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง การเสื่อมสลายของธาตุขันธ์นี้ก็เช่นกัน ขอให้บิดาอย่ายึดมั่นถือมั่น จงปล่อยวางธาตุขันธ์นี้เสียเถิด  

เมื่อคราใด ที่บุรุษผู้นี้ได้ยกเอาธรรมขึ้นมาแสดง เมื่อคราใดที่เขาอธิษฐานจิตแผ่พลังบุญทั้งหลาย เพื่อช่วยบรรเทาอาการเวทนาของบิดา ก็ปรากฏว่า มีคลื่นแห่งความเย็นแผ่ซ่านเข้ามา จนทำให้ท่านอยู่ในอาการสงบอย่างอัศจรรย์ เมื่อคราใดที่เขาอาราธนาคุณของพระรัตนตรัย และครูอาจารย์ ได้โปรดเมตตาแผ่ฉัพพรรณรังสีแลแสงสว่างปกคลุมมายังบิดาของเขาด้วยเถิด เพื่อเป็นเครื่องนำทางท่านไปสู่สุคติภูมิสรวงสวรรค์ ก็ปรากฏว่า บิดาได้เห็นแสงสว่างนั้นจริงๆ พร้อมกับได้ยกมือขึ้นพนมมือ เพื่อเป็นการยืนยันว่า ท่านเห็นแสงสว่างนั้นจริงๆ

บิดาแสดง "ธรรมสังเวช" เป็นครั้งสุดท้าย

ต่อมา ก่อนที่บิดาใกล้จะสิ้นลมหายใจหลายชั่วโมง บุรุษผู้เป็นบุตร ได้ยกเอาข้อธรรมขึ้นมาแสดงต่อ และถามบิดาไปว่า "ยังห่วงธาตุขันธ์อยู่หรือไม่?" บิดาตอบว่า "ไม่" ... "พ่อยังมีสิ่งใดยังห่วงอยู่อีกหรือไม่?" ท่านก็ตอบว่า "ไม่" เขาก็บอกบิดาต่อไปว่า "จงทิ้งมันเสีย ร่างกายเน่าๆ ที่กำลังจะแตกดับอยู่นี่ ให้เหลือแต่จิตเบาๆ ใสๆ สว่างไสวนะ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์นะ ให้ภาวนาพุทโธนะ ให้ระลึกถึงบุญของตนเองนะ"  บิดาพยักหน้า และคลายอาการเวทนาลง จนในที่สุด ร่างกายที่เคร่งเกร็งและร้อนผ่าวด้วยพิษโรคร้าย ก็ค่อยๆคลายลง ขาและลำตัวค่อยๆเหยียดตรง ท่านมีสติและกำลังพอที่จะยกมือทั้งสองข้างวางทับกันลงบนอก หนังตาที่เคร่งตึงค่อยๆปิดลง ริมฝีปากค่อยๆหุบลง ผิวหนังใบหน้าค่อยๆอ่อนนุ่มลง และสุดท้าย ลมหายใจค่อยๆแผ่วเบาลง และก่อนจะสิ้นใจ เกิดลมหายใจสะอึกต่อกันสองครั้ง นับเป็นเฮือกสุดท้าย ใจก็ขาดสะบั้นลง จึงนับเป็นวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต ที่บิดาได้แสดง "ธรรมสังเวช" ต่อหน้าต่อตาผู้เป็นบุตร แม้ไม่มีผู้ใดเห็นกับเขา ไม่มีผู้ใดทราบว่า เขาได้เพ่งมองอาการสุดท้ายของบิดา ไม่มีผู้ใดรู้ว่า เขาได้กำหนดลมหายใจที่แผ่วเบาไปกับบิดา เขาลุ้นสภาวะไปพร้อมๆกับบิดา และในวาระสุดท้ายจะมาถึง เขาได้กระซิบบอกบิดาเบาๆว่า "พ่อทำใจให้เบาๆนะ นึกถึงความใส ความเย็น และตามแสงสว่างไปนะพ่อ" นี้คือหน้าที่สุดท้ายของผู้เป็นบุตร ที่พึงมีต่อบิดาในภพนี้ 

นอกจากนั้น ยังมีความอัศจรรย์หลายๆอย่าง ได้บังเกิดขึ้นระหว่างบุตรกับบิดา  ซึ่งยากที่บุคคลอื่นจะเข้าใจได้ ดังจะเห็นได้จาก บางครั้งแม้บิดาจะบังเกิดอาการทุกขเวทนาอย่างที่สุด แต่พลังแห่งบุญที่ท่านสั่งสมมา และพลังบุญของผู้เป็นบุตร ต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ต่างประคับประคองกันจนวาระสุดท้าย 

และมีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง คือ เมื่อใกล้วาระที่บิดาจะสิ้นลมหายใจ 1 วัน บุรุษผู้เป็นบุตร ได้กระทำหน้าที่เป็นสะพานบุญสุดท้ายให้กับบิดา ด้วยการนำเอาเงินของบรรดาลูกๆ จำนวนหนึ่ง ไปให้บิดาอธิษฐานจิตยกขึ้นเหนือหัว ก่อนที่จะนำไปถวายหลวงพ่อฉลวย อาภาธโร เพื่อสร้างถนนทางเข้าวัดโคกปราสาท จึงนับว่า เป็นอานิสงส์ครั้งสุดท้ายของบิดา ที่ได้ทำบุญกับพระอริยเจ้า ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันสูงสุด

พอรุ่งเช้า หลังจากที่บุรุษผู้เป็นบุตร ได้ถวายเงินปัจจัยแก่หลวงพ่อแล้ว ปรากฏว่า หลานสาวได้โทรศัพท์เข้ามา พร้อมกับร้องไห้บอกว่า พ่อได้สิ้นใจแล้ว พลันจั๊กจั่นเรไรและสัตว์นานา ต่างพากันร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งวัด อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับมีคลื่นบางอย่างแผ่ซ่านเข้ามา เขาได้ฟังแล้ว ก็ยังนั่งเฉยสงบนิ่งอยู่ ส่วนหลวงพ่อก็ได้แสดงธรรม ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ 

ต่อมา เมื่อบุรุษผู้นี้ได้กลับไปถึงบ้านแล้ว เหตุการณ์กลับตาลปัตร ปรากฏว่า บิดาของเขาได้ฟื้นขึ้นมา เขาก็ยังงงๆอยู่ว่า เมื่อเกือบชั่วโมงที่แล้ว บิดาได้ละสังขารไปแล้ว เมื่อพิจารณาในภายหลัง จึงทราบว่า ท่านมารับอานิสงส์ด้วยจิตของท่านเอง แต่อายุขัยยังไม่ถึงกาลสิ้น วิญญาณจึงต้องหวนคืนกลับเข้าสู่ร่างอีกครั้ง 

นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายเรื่องราว เช่น เรื่องนิมิต ที่บุรุษผู้นี้เห็นภาพล่วงหน้าว่า อาการก่อนที่บิดาจะละสังขารนั้นเป็นอย่างไร จึงได้เล่าให้ญาติพี่น้องฟัง ซึ่งต่อมาก็ได้บังเกิดขึ้นจริงตามนิมิตนั้นทุกประการ อีกทั้งมารดาของเขา ก็เกิดนิมิตเห็นเทวดาจำนวนมาก มาตั้งแถวรับบิดา ตั้งแต่หน้าวัดจนถึงบ้าน ในวันที่ท่านจะสิ้นใจ อีกทั้งบิดาเองขณะที่นอนอยู่โรงพยาบาล ก็ฝันว่า มีเทวดาพากันมารับท่านไปเที่ยวสวรรค์  และเมื่อท่านสิ้นใจไปแล้ว เนื้อหนังมังสาของท่าน ก็ยังอ่อนนุ่มเหมือนยังมีชีวิตอยู่ 

อย่างไรก็ตาม การเจ็บป่วยและการสิ้นอายุขัยของบิดาในครั้งนี้ ทำให้บุรุษผู้นี้ มีโอกาสได้เรียนรู้สภาวธรรมต่างๆ ที่หาจากที่อื่นไม่ได้ จึงนับว่า เป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ในการฝึกความอดทน เพราะไม่ได้หลับได้นอนตลอดเวลา 7 วัน และยังถือโอกาสนี้ ทดแทนคุณบิดาเป็นครั้งสุดท้าย อย่างที่สุด สมภูมิกับที่ได้ปฏิบัติธรรมมาพอสมควรแก่ธรรม 

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์ ผู้เล่าแทนบุรุษผู้นั้น
19 มิถุนายน 2555

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

(069) ธรรมาปาฏิหาริย์ อำนาจแห่ง "พุทโธ"




❇️ บันทึกนักภาวนา 4/2555
❇️ ธรรมาปาฏิหาริย์ อำนาจแห่ง "พุทโธ" 
 
          ท่านทั้งหลาย มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟัง คือ ในช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555  ก่อนที่บุรุษผู้หนึ่ง จะเดินทางไปกราบครูอาจารย์ที่กาฬสินธุ์ เขาได้รับโทรศัพท์จากพี่เขยว่า พี่สาวของเขาจะเข้าโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดมะเร็งเต้านม (ระยะแรก) ที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ นครราชสีมา แบบเร่งด่วน แต่บุรุษผู้เป็นน้องชาย มีโปรแกรมต้องเดินทางไปกาฬสินธุ์ เขาจึงบอกพี่สาวไปว่า ..."ผมไม่ได้อยู่ดูแลนะ ขอให้เข้าโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดตามกำหนด แล้วผมจะภาวนาช่วย และให้ภาวนา "พุทโธ" นะ"... เธอตอบตกลง

          ความจริงแล้ว พี่สาวและพี่เขยของบุรุษผู้นี้ ต่างมีจิตใจใฝ่ในธรรม มักเข้าวัดทำบุญอยู่เป็นประจำ เนื่องจากครอบครัว คือ ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายลงมา จนถึงรุ่นพ่อแม่ มักมีความผูกพันอยู่กับวัด โดยเฉพาะยายและแม่ มักใส่บาตร ไปจังหันและเพลอยู่ทุกวันมิเคยขาด พอวันพระ ท่านก็จะนุ่งขาวห่มขาวไปรักษาศีล และเจริญภาวนาอยู่ที่วัด และเมื่อถึงวันพระคราใด ไม่บุรุษผู้น้องชาย หรือก็พี่สาว จะต้องทำหน้าที่ถือเสื่อสาดหมอน ไปส่งไปรับแม่และยายที่วัดเป็นประจำ ซึ่งเป็นนิสัยที่ต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ 

         ต่อมา เมื่อราวปี 2553 พี่สาวและพี่เขย เริ่มเข้าวัดอย่างจริงจัง เพื่อภาวนาและถือศีลแปด เช่นเดียวกันกับแม่ของเขา และในที่สุด เธอก็โชคดี เมื่อได้พบและได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร ที่พักสงฆ์โคกปราสาท ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของเธอ ราว 11 กิโลเมตร หลังจากนั้น ปลายปี 2554 บุรุษผู้เป็นน้องชาย ก็ตามไปถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแห่งโคกปราสาท อีกทั้งผู้เป็นมารดาก็ได้ร่วมติดตามไปปฏิบัติธรรมด้วย

         หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร ท่านมีปัญญาญาณอันกว้างไกล ท่านบอกพี่สาวไว้ล่วงหน้าแล้วว่า... "แตงโมที่ปลูกไว้ ก็งามดีดอก ได้เงินมากอยู่ แต่ก็ขอให้เก็บเงินไว้รักษาตัวเองด้วยเด้อโยม"... แล้วท่านก็สอนให้ภาวนา "พุทโธ" และให้พิจารณาถึงความตาย ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอารมณ์ ให้พิจารณาร่างกายเป็นของไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งใดเป็นของตนเลย โดยมีคำภาวนา "พุทโธ" เป็นหลัก ซึ่งพี่สาวได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อเธอเริ่มภาวนาสมาธิครั้งแรกนั้น ปรากฏว่า จิตของเธอสงบเร็วมาก จนเกิดภาพนิมิต เห็นภาพพระสงฆ์และแม่ชีสลับกัน นั่นจึงเป็นกำลังใจ ให้เธอมุ่งปฏิบัติธรรมเรื่อยมา

         ท่านทั้งหลาย ครั้งแรกที่เธอเริ่มสัมผัสก้อนเนื้อร้ายที่เต้านมได้ เธอไม่ประมาท จึงได้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา หมอวินิจฉัยว่า เธอเป็นมะเร็ง เธอตกใจเล็กน้อย แต่ด้วยคุณแห่งการภาวนา และการพิจารณาสังขารอยู่เป็นประจำ พร้อมทั้งการพิจารณาเรื่องของเวรกรรม ที่ต้องชดใช้เจ้ากรรม จึงช่วยให้เธอระงับความวิตกกังวลได้  

         ต่อมาไม่นาน หมอได้นัดให้เธอมาตรวจอีกครั้ง เพื่อผ่าตัดเอาก้อนเนื้อตัวอย่างไปตรวจ (ยังไม่ตัดเต้านม) ปรากฏว่า ในขณะที่หมอกำลังผ่าตัดอยู่นั้น มีดผ่าตัดอันคมกริบ กลับไม่สามารถกรีดผิวหนังของเธอเข้าไปได้ เธอได้ยินหมอเรียกให้พยาบาลเอามีดเล่มใหม่มาให้ พร้อมกับพูดว่า "ผ่าไม่เข้า" เมื่อเปลี่ยนมีดเล่มใหม่แล้ว ก็ยังไม่สามารถกรีดเข้าอีก จนกระทั่งเล่มที่สาม จึงสามารถผ่าได้ เธอเล่าให้ฟังว่า เธอภาวนา "พุทโธ" อยู่ตลอดเวลา นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งแรก

        ต่อมา เมื่อทราบผลชัดเจนแล้วว่า เธอเป็นมะเร็งร้ายในระยะแรก เธอจึงตัดสินใจเข้าไปผ่าตัดด่วน ที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี นครราชสีมา ในวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งได้โทรศัพท์มาแจ้งบุรุษผู้เป็นน้องชาย พร้อมกับขอให้น้องชายภาวนาช่วยเธอด้วย เขาจึงบอกให้เธอภาวนา และขอให้อุทิศบุญกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรนะ ให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ และครูอาจารย์ ขอบุญกุศลทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว จงมาระงับความเจ็บปวดทั้งหลายด้วย 

         ต่อมา ประมาณบ่ายสามโมง เธอได้เข้าห้องผ่าตัด ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่บุรุษผู้เป็นน้องชาย ได้ส่งจิตอธิษฐานไปให้กำลังใจตามที่เธอขอร้อง ขณะที่ตัวเธอเองก็ได้ภาวนา "พุทโธ" อยู่ตลอดเวลา เมื่อพยาบาลนำเครื่องวัดหัวใจที่ใช้ในการผ่าตัด แม้เครื่องวัดจะมีกระแสไฟฟ้าเข้าปรกติ แต่ปรากฏว่า เข็มวัดและคลื่นวัดไม่ทำงาน แม้จะเปลี่ยนเครื่องใหม่แล้วก็ตาม แต่มันก็หยุดนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น พยาบาลและหมอ ต่างสาละวนว่า เกิดอะไรขึ้น พยาบาลเอ่ยปากถามพี่สาวว่า "ป้าๆ มีของดีของขลังอะไรอยู่ในตัวหรือเปล่า" พี่สาวตอบว่า "ไม่มีอะไรคุณหมอ" จนเวลาล่วงเลย คือยานอนหลับออกฤทธิ์ไม่รู้สึกตัวแล้ว หมอจึงลงมือผ่าตัดได้ นั่นจึงเป็นปาฏิหาริย์  ที่บังเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งที่สอง

        ต่อมา เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว หมอให้เธอมาพักผ่อนในห้องพิเศษเหมือนคนไข้ทั่วๆไป แต่ปรากฏว่า เธอไม่มีอาการเจ็บปวดหรือเป็นไข้ใดๆ หมอมาตรวจมาวัดทุกครั้ง ก็ได้คำตอบว่า ปรกติเหมือนคนทั่วไป ดูหน้าตาก็แจ่มใส กินอาหารได้มากกว่าปรกติ แผลก็หายเร็วกว่าปรกติ จนหมอสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น หรือเป็นการผ่าตัดเอาเต้านมออก โดยไม่ได้เป็นเนื้อร้ายหรือไม่ เนื่องจากหมอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เอาผลการตรวจมาจากโรงพยาบาลแรก โดยไม่ได้ตรวจซ้ำ จึงเกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อย นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ครั้งที่สาม 

        เมื่อบุรุษผู้เป็นน้องชาย ได้เดินทางกลับจากกาฬสินธุ์แล้ว ได้ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล พร้อมกับได้อธิษฐานจิตแผ่พลังเมตตา เธอโน้มจิตรับเอาด้วยศรัทธา เธอบอกว่า มีพลังวิ่งไปทั่วร่างของเธอ เธอเกิดความปีติยินดี เพราะกระแสแห่งความเย็น ได้แผ่ซ่านไปทั้งตัวเธอ ต่อมา เธอจึงได้ปวารณาตัวว่า หากน้องชายออกบวชเมื่อไร เธอจะขอติดตามไปภาวนาด้วย และจะขอภาวนาไปตลอดชีวิต นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ที่บังเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งที่สี่ 

         ท่านทั้งหลาย ในวันต่อมา เธอเล่าให้ฟังว่า ประมาณช่วงตีสาม เธอได้ลุกขึ้นมาภาวนาบนเตียงคนไข้ นานจนถึงเกือบสว่าง ได้ปรากฏภาพนิมิตขึ้นมาว่า มีผู้หญิงผมยาวมายืนหน้าเศร้าอยู่ข้างเตียง บุรุษผู้เป็นน้องชาย จึงบอกให้เธออุทิศบุญให้เขานะ เขาคงมาขอส่วนบุญ พอคืนต่อมา ขณะที่เธอนั่งภาวนาบนเตียงคนไข้เหมือนเดิม ก็ปรากฏเห็นภาพเด็กหนุ่มมีเลือดเต็มศรีษะ มายืนอยู่ข้างเตียงอีก พร้อมกับเห็นภาพคนนอนตายอยู่ข้างโรงพยาบาลด้วย เธอจึงได้อุทิศแผ่บุญกุศลไปให้ เมื่อมีญาติๆ มาเยี่ยม ต่างก็แปลกใจว่า ทำไมเธอไม่เหมือนคนไข้ แถมยังมีหน้าตาสดชื่นผ่องใส แถมยังได้โปรดพวกวิญญาณอีกต่างหาก นี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ ที่บังเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งที่ห้า

         ท่านทั้งหลาย ที่ผู้เขียนนำเอาเรื่องราวนี้ มาเล่าสู่กันฟัง มิใช่จะยกตัวตนผู้ใดขึ้นมา แต่ก็เพื่อให้พวกเราได้ตระหนัก และเชื่อมั่นในคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และขอให้เชื่อมั่นในพลานุภาพแห่งคำภาวนา "พุทโธ" นั้น ชั่งยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่มีสิ่งใดมาเสมอเหมือนได้ และขอให้เชื่อในเรื่องของบุญกุศล หรือแม้แต่การอุทิศแผ่บุญกุศล ให้กับเจ้ากรรมนายเวร และดวงวิญญาณต่างๆนั้น นับว่ามีอานิสงส์มาก และขอให้เชื่อมั่นว่า "ธรรมาโอสถ" นั้น เป็น "ธรรมาปาฏิหาริย์" ที่สามารถระงับความเจ็บปวดได้จริง นี่คือผลของการเจริญภาวนา "พุทโธ" และพิจารณาถึงความตาย ตามคำสอนของพระพุทธองค์ และตามคำแนะนำของหลวงพ่อแห่งโคกปราสาท จึงส่งผลอย่างที่ผู้เขียนกล่าวมาแล้ว จึงขออนุโมทนา กับผู้ที่ได้อ่านเจอข้อความนี้ ทุกท่านเทอญ

        ขอเจริญในธรรม
        อกุปปธรรม
        11 กุมภาพันธ์ 2555