ภาพเมื่อ 8 เมษายน 2555
ภาพถ่ายย้อนหลัง 24 มิถุนายน 2559
"สภาวธรรม" บันทึกแรกของนักภาวนา
ภายใต้บารมีพ่อแม่ครูอาจารย์
ในธรรมปฏิบัติสัญจรภาคเหนือครั้งแรก
5-9 เมษายน 2555
ท่านทั้งหลาย บุรุษผู้หนึ่งได้แสวงหาครูอาจารย์มาแล้วหลายรูป จนในกลางปี 2554 จึงได้นิมิตเห็นพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ว่า ในอีก 6 เดือนจะได้พบกัน หลังจากครบ 6 เดือนแล้ว ในช่วงปลายปี 2554 จึงมีเหตุให้ได้มาพบกับท่านจริง ณ ที่พักสงฆ์โคกปราสาท ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านเกิด และนับเป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ในวาระธรรมปฏิบัติสัญจร ในค่ำคืนแรก วันที่ 5 เมษายน 2555 หลวงพ่อและคณะ ได้เดินไต่ขั้นบันไดสูงขึ้นไปพักภาวนา ณ บริเวณหน้าถ้ำวัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่บนเขาที่สูงมาก ต่อมา หลวงพ่อได้เล่าให้คณะลูกศิษย์ฟังในภายหลังว่า ในค่ำคืนนั้น หลวงพ่อตั้งใจจะปราบศิษย์ผู้มาใหม่ ด้วยการเทศนาเจาะจงโดยเฉพาะ ด้วยคำพูดแรกว่า...
..."ด็อกเตอร์... เหนื่อยไหม แบกอะไรมาพะรุงพะรัง ไม่หนักหรือ... เห็นแขวนพระห้อยเหรียญมาเต็มคอ เสียงกระทบกันดังกรุ๊งกริง ไม่หนักเหรอ ให้พระขี่คออยู่ได้ ทำไมไม่ให้พระแบกเราขึ้นมาละ การนับถือเหรียญมันก็ดีอยู่หรอก แต่ก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ พระพุทธเจ้าให้เราพึ่งบุญของตัวเอง ปฏิบัติเอาเอง อย่าไปหวังพึ่งสิ่งภายนอก"...
จากคำสอนสั้นๆ แต่มันกระแทกใจของบุรุษผู้เป็นศิษย์อย่างจัง เพราะท่านรู้วาระจิตของศิษย์ว่า เขายังติดข้องอยู่ในอะไร เมื่อเขาพิจารณาตามท่านได้ จึงรู้แจ้งในความจริงว่า ตัวเองกำลังปฏิบัติแบบหลงลูบคลำอยู่ หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่ได้แขวนพระอะไรอีก... หลวงพ่อเล่าต่อไปว่า วันนั้น... "จิตของผู้เป็นศิษย์สว่าง"... เพราะได้ละวางสิ่งที่ลุ่มหลงลงได้



คืนวันที่ 6 เมษายน 2555 หลวงพ่อและชาวคณะ พักค้างคืนภาวนาอยู่ในสวนป่าสัก อ.เมือง จ.แพร่ ขณะภาวนา บุรุษผู้หนึ่ง ได้พิจารณาข้อธรรมหลายอย่าง โดยเฉพาะความซาบซึ้ง ในปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์ ว่าบัดนี้เราได้พบแล้ว จิตจึงโน้มเข้าไปกราบแทบเท้าองค์ท่าน พร้อมกับอธิษฐาน ขอเป็นลูกศิษย์ท่าน พลันจิตสะท้านแผ่ซ่านไปทั้งกาย ด้วยกระแสจิตของท่านสะท้อนกลับมา ใจจึงปีติยินดี พอออกจากสมาธิแล้ว หลวงพ่อยิ้ม พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาเป็นเชิงนัยว่า... "เป็นอย่างไร รู้อะไรบ้างละ"... เขายิ้มน้อมรับว่า... "ครับ........"...



ค่ำคืนวันที่ 7 เมษายน 2555 ณ อ่างเก็บน้ำเชิงเขา ดอยม่อนพระธาตุ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ขณะที่บุรุษผู้หนึ่ง นั่งภาวนาอยู่ใกล้ๆ กับหลวงพ่อ อาจด้วยความเกรงในการหยั่งรู้วาระจิตของท่าน จึงทำให้เขาระวังในความคิดทั้งหลาย ที่จะไปกระทบกับท่าน เพราะเข้าใจว่า ท่านกำลังตามดูจิตของตนอยู่ ตลอดเวลา จึงมีสติตามรู้อาการที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะทั้งหก ขณะใดจิตมันเฉออกไปคิดนอกกายและใจ สติก็ดึงกลับมาสู่ปัจจุบันธรรมได้ไวขึ้น
ต่อมา ได้มีสภาวธรรมบางอย่างเกิดขึ้น คือ ในขณะที่ภาวนา ปรากฏว่า ท้องมันร้องดังขึ้นมาด้วยความหิว ทันใดนั้น พลันถ้วยกาแฟที่สวยงามก็ปรากฏขึ้นมา พร้อมกับส่งกลิ่นหอมอบอวล แต่สติระลึกรู้ได้ทันท่วงทีเช่นกันว่า... "เฮ้ย มึงเป็นกิเลสนี่ มึงปรุงขึ้นมา กูทุบมึงเดี๋ยวนี้".... ปรากฏว่า ถ้วยกาแฟแตกกระจาย ตามที่จิตสั่งทันที แต่แล้ว ถ้วยกาแฟพร้อมกลิ่นหอม ก็ปรากฏขึ้นมาอีก จิตก็ทุบมันแตกเปรี้ยงไปอีก เกิดขึ้นเร็ว ก็ทุบเร็ว สู้กันไปหลายนาที ไม่นาน มี "ผู้รู้" ผุดขึ้นมาว่า... "เฮ้ย เราปรุงกิเลสขึ้นมาทั้งคู่นี่ จิตปรุงถ้วยกาแฟพร้อมกลิ่นหอมขึ้นมาเอง แล้วจิตก็ปรุงไปทุบมัน โอ้ตายแล้ว มันเป็นกิเลสทั้งคู่นี่" ...ทันใดนั้น ทั้งภาพถ้วยกาแฟและการทุบถ้วย ก็อันตรธานหายไปในพริบตา เรื่องที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ มันดับไปโดยอัตโนมัติ คงเหลือแต่ความสงบสว่างและเบาสบาย หลังออกจากสมาธิแล้ว หลวงพ่อท่านเมตตาเอ่ยว่า... "ดีแล้ว เพียรเอานะ"...



หลังจากนั่งสมาธิแล้ว ราวเที่ยงคืน หลวงพ่อบอกให้บุรุษผู้เป็นศิษย์ ไปเดินจงกรมใกล้กับตลิ่งริมน้ำ ขณะเดินจงกรมราวชั่วโมง เขามีสติรู้เท่าทันอายตนะ และพิจารณาธาตุทั้งสี่สลับกันไป เมื่อพิจารณาไปได้ระยะหนึ่ง ขณะเดินไปสุดทางจงกรม เขาได้ยืนหลับตา พลันจิตสงบลง ทันใดปรากฏมีภาพพื้นดินและป่าเขาที่เขายืนอยู่ กลายเป็นดินง่วนสีขาวนวล ราบเรียบไปหมด เสมือนเป็นการเกิดใหม่ของภูเขาลูกนี้ พร้อมกับเปลี่ยนสภาพไปเป็นดิน หิน น้ำ หญ้า มีลมฝน มีหนองน้ำ มีป่าต้นไม้ ต้นไม้เกิดแล้วก็ตายไป ภาพเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก เป็นการฉายภาพย้อนอดีต ตั้งแต่การเกิดขึ้นของผิวโลกบริเวณนี้ แต่เนื่องจากเป็นภาพนิมิตชัดแจ๋วเป็นครั้งแรกๆ จึงไม่แน่ใจว่า นี่คืออุปทานหรือไม่ จึงพยายามกำหนดจิตไปเรื่องอื่น แต่การเปลี่ยนแปลงของบริเวณนั้น ก็ยังปรากฏเป็นฉากๆ ฉายต่อเนื่องไปจนถึงปัจจุบัน สติปัญญา จึงได้โอกาสพิจารณาเห็นความเป็นอนิจจัง มีความเปลี่ยนแปลงไปไม่สิ้นสุด มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เห็นไตรลักษณ์เกิดขึ้นที่ใจ เป็นครั้งแรก
เมื่อพิจารณาได้พอสมควรแล้ว ก็ถอนออกมา แล้วเดินจงกรมต่อไป เมื่อมาถึงปลายทางอีกด้านหนึ่ง ก็หยุดยืนมองไปที่ภูเขาอีกลูกหนึ่งแล้วหลับตา ก็เกิดภาพทำนองเดียวกันอีก สิ่งที่เกิดขึ้น จะเรียกว่าอะไรก็ไม่ทราบได้ หรือจะเป็นอะไรก็ชั่งมันเถอะ เพราะที่สุด มันก็เป็นอนัตตาอยู่ดี



คืนวันที่ 8 เมษายน 2555 หลวงพ่อและคณะ พักค้างคืนภาวนา ณ บริเวณอ่างเก็บน้ำ ที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ขณะภาวนา บุรุษผู้หนึ่ง ยังมีสติเฝ้าระวังความคิด เพราะทราบว่า ครูอาจารย์คอยดูอยู่ อีกทั้งหลวงพ่อแนะนำให้ภาวนา ด้วยการละวางความคิด ทำใจให้สบายคล้ายกับการนอนหลับ แต่สติต้องไม่ขาด พอนานเข้า จิตก็สงบลง ปรากฏมีแสงสว่างวาบ ประมาณแสงสปอร์ตไลท์หน้ารถยนต์ ส่องสว่างจ๊าดออกไปไม่มีประมาณ จิตไม่เคยพบพานมาก่อน จึงปีติตื่นเบิกบาน แม้สภาวะนี้จะเป็นเพียงขั้นพื้นฐาน แต่ก็เป็นกำลังใจที่สุด



หลังออกจากนั่งสมาธิแล้ว หลวงพ่อพาลูกศิษย์เดินจงกรม ไปตามเส้นทางบนถนนหลังอ่างเก็บน้ำ และวนไปตามถนนรอบที่ทำการ ระยะทางมากกว่ากิโลเมตร เดินอยู่หลายรอบจนเลยเวลาเที่ยงคืน ขณะเดียวกัน บุรุษผู้หนึ่ง ได้เดินตามหลังหลวงพ่อ สติจึงอยู่กับการเดิน สลับกับการพิจารณาอยู่กับสิ่งที่มาปะทะกับอายตนะ บางช่วงได้หยิบยกเอาข้อธรรมตามสัญญาขึ้นมาพิจารณา ขณะพิจารณาจิตก็รู้ว่า หลวงพ่อเฝ้าดูอยู่ จึงเอ่ยในใจไปว่า... "ข้าน้อยพิจารณาจากสัญญา ยังไม่เห็นจริง แต่ขอพิจารณาอย่างนี้ไปก่อน ข้าน้อย"... พลันเสมือนหลวงพ่อได้ตอบกลับมาว่า... "ใช่แล้ว"... เมื่อพิจารณาธรรมเพลินไปได้ระยะหนึ่ง สติระลึกได้ว่า... "นี่ก็เป็นแต่สัญญาดอก"... พลันคลื่นก็ตอบมาทันทีว่า... "ใช่แล้ว"... นานเข้าสติเคลื่อนไปอยู่กับเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะการเดินขึ้นลงหลังอ่างน้ำเป็นเวลานาน จึงวางธรรมในสัญญาลงได้ อีกทั้ง ลูกศิษย์หลายคนได้โอดโอยในใจว่า "เมื่อไรหลวงพ่อจะพาหยุดสักที" หลวงพ่อได้ยินเสียงอื้ออึง จึงเห็นใจ เพราะใช้เวลาเดินนับชั่วโมงแล้ว หลวงพ่อจึงพาหยุด วาระจึงจบลง



เย็นวันที่ 9 เมษายน 2555 ขณะเดินทางกลับมาถึงเขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา หลวงพ่อและชาวคณะ ได้แวะพักที่ริมเขื่อนลำตะคอง ขณะสวดมนต์และนั่งภาวนา ได้มีผู้ไม่มีตัวตนเข้ามาแสดงฤทธิ์ ด้วยการเนรมิตลมพัดกระหน่ำมาเป็นระลอกๆ ต่อมา บุรุษผู้หนึ่งได้ยินเสียงผู้ไม่มีตัวตน โยนอะไรบางอย่างดังตุ๊บ แล้วกลิ้งเสียงดังผ่านหน้าไปเพื่อขับไล่ เมื่อไม่มีผู้ใดสนใจ ผู้ลึกลับจึงเปล่งเสียงคำรามว่า... "มาทำไม มาทำอะไร เราไม่ชอบ" บุรุษผู้ภาวนาจึงได้แต่สังเวชในกรรมของเขา ต่อมาภายหลัง หลวงพ่อได้เล่าให้ฟังว่า พญานาคตนหนึ่ง มีมานะทิฏฐิมาก ไม่ยอมใคร เพราะคิดว่าตนเป็นใหญ่ จึงไม่พอใจที่คณะมาแวะพักภาวนาที่นี่ จึงเข้ามาก่อกวน แต่ภายหลังเขาได้สำนึก จึงได้ขอขมาต่อหลวงพ่อ
ขอเจริญธรรม
ดร.นนต์
10 เมษายน 2555